เอาล่ะ ใครมีอะไรจะถาม ประโยคคำถามสุดนิยม ที่ข้าพเจ้าได้ยินมาตั้งแต่จำความได้ !แต่ช่างเถอะเก็บไว้เล่าให้ฟังทีหลังดีกว่า ทีนี้ เรามาคุยกันดีกว่า ข้าพเจ้าเคยพยายามเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ ตันตระ มาหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยสำเร็จซักที ไปได้ซักนิดก็ย้อนมาอ่าน แล้วก็จะรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่า เพราะมันดูเป็นเหมือนตำราเรียน เป็นวิชาการเกินไป หรือไม่ก็สรุปซะจนอ่านไม่เข้าใจหรือไม่ก็วกไปวนมา เขียนเองยัง งง เอง ซะงั้น ครั้งนี้เลยลองใหม่ แบบว่า เหมือนเรามานั่งคุยกันนะ อันที่จริง ข้าพเจ้าต่างหากจะเป็นฝ่ายคุยให้ คุณๆ ฟัง ตันตระ ฟังดูคุ้นๆ มั้ย ในทางพุทธศาสนา มี สุตตะตันตระปิฎก ในฮินดู มีตันตระ ใน ไศวะนิกายบ้างว่าเป็นคำสอน เป็นคำพูด เป็นเรื่องเล่า แต่ ที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง คือ ลัทธิตันตระ ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการพิสูจน์ อะไร ให้ใครเห็น ใครเชื่อ ใครพบ ใครเห็น ใครสัมผัสได้ ใครได้อะไรไปจากเรื่องเล่านี้ ข้าพเจ้ายินดีและดีใจด้วย ส่วนจะนำไป ประยุกต์ หรือจะนำไปใช้ทั้งหมด ก็ยินดี ไม่ขัดข้อง หากท่านไม่เชื่อ ก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ก็คิดซะว่า เป็นการฆ่าเวลา ก็คิดซะว่าอย่างน้อยก็มีคนมาเล่าเรื่องแปลกๆให้ฟัง ก็แล้วกันนะ มา...... มาเริ่มกันเลยดีกว่า
ตันตระเชื่อว่า ทุกคนมีทุกข์ แต่ไม่เชื่อว่า ทุกคนมีหนทางดับทุกข์ที่เหมือนกัน แต่ ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ ในคำสอนขององค์ศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบัน ในเรื่องการตรัสรู้ ในอริยะสัจ 4 เพียงแต่ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมา บอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าหรือ พวกท่านบางคน อาจเป็นบัว ในเหล่าที่ 5 หรือ 6 หรือ เหล่าอื่นๆอีกมากมายหรืออาจไม่ใช่ดอกบัวแต่เป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในวัฏฏะสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิดมิรู้จบ) ที่องค์ สัมมาสัมพุทธเจ้า มิได้ทรงตรัสถึง เพราะอยู่ลึกกว่าชั้นดิน คือพวกที่ มีทุกข์กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาก บางครั้ง มากกว่าทุกข์ ของคนปกติ หรืออาจเป็น กลุ่มคนที่มีความคิดไม่ปกติ หรือมักจะคิดไม่เหมือนกับคนอื่น ตันตระไม่ดูถูกความทุกข์ของผู้อื่น นี่คือสิ่งหนึ่งที่ต้องย้ำเตือน ให้เข้าใจกันก่อน เพราะบางครั้งทุกข์บางเรื่องของคนบางคนเมื่อคนบางคนรับรู้ มักจะคิดว่า อะไรกัน เรื่องแค่นี้ จะทุกข์อะไรกัน นัก หนา ความคิดแบบนี้จะต้องไม่มีในตันตระ เพราะไอ้แค่ทุกข์แค่นี้ของใครบางคน อาจเป็นความทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส ของใครๆอีกหลายๆคนก็ได้
มา.....เราตามมาดูกันต่อ เมื่อมีทุกข์แล้วไง ก็ต้องหาวิธีดับทุกข์ สิ คราวนี้ แต่ ในคำสอนของตันตระมีคำพูดหนึ่งประโยคซึ่งเป็นประโยคแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินเมื่อเริ่มศึกษาวิชชาตันตระ คือ เจ้า เป็น ใคร ครั้งแรกที่ คุรุ ถาม ข้าพเจ้า ตอนนั้นยังเด็กอยู่มาก ก็ งง สิ เอาล่ะสิ แล้วเราเป็นใคร จะตอบว่าไงดี เลยเงียบก้มหน้า บอกตรงๆนะ ว่า ทั้ง งง ทั้ง กลัว คุรุ ก็พูดอีกว่า การจะเป็นผู้รู้ได้ ต้องพร้อมที่จะเป็น การพร้อมที่จะเป็น คือ การเปิดช่องทางของการรับรู้ ไม่เพียงแต่ อายตนะทั้ง 5 แต่ต้องเปิดให้ครบทั้ง 6 อายตนะ ไหนลองดูซิ เอาล่ะสิ คราวนี้สั่นกว่าเดิมอีก ก็แค่เมื่อกี้ถามยังไม่รู้จะตอบว่าไงเลย แล้ว คราวนี้ มีอายตนะ5 อายตนะ6 อีก เลยรวบรวมความกล้า ตอบไปเลยว่า ฮือๆๆๆ ฟังไม่รู้เรื่อง จะกลับบ้าน เป็นไง ตอบได้เท่ห์ม๊ย ก็เด็ก น่ะ ตอนนั้น ร้องไห้เลย ร้องแบบร้องจริงๆนะ ก็ ทั้งห้องมันมืด เย็น คุรุ ก็หน้าตาน่ากลัว ผอมๆ สูงๆ น่ากลัวแถมมีหนวดมีเครา เป็นใครๆก็กลัว แถม มาที่ห้องนี้เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ ใครพามาก็ไม่รู้ ลืมตามา ก็ เจอ ถามคำถามนี้ เลย พอตอบไปร้องไห้ไป อย่างสะอึกสะอื้น เลยนะ ในใจก็นึกเลยว่า เดี๋ยวโดนตีแหงๆเลย คือแบบว่า เวลาร้องไห้ ไป พูดไป เวลาโดนแม่ดุ ต้องโดนตี แล้วก็โดนดุ อีก ประมาณว่า เงียบเดี๋ยวนี้นะ ในใจกะโดนแน่แต่แปลก คุรุกลับพูดว่า ดี ได้ใช้อายตนะที่สองแล้ว ฟังแล้วข้าพเจ้างง เงียบ หยุดร้องไห้ จ้องหน้าคุรุเขม็ง คุรุ หัวเราะแล้วพูดต่อว่า นั่นไงอายตนะที่3 คราวนี้ข้าพเจ้าไม่กลัวแล้ว ความกลัวมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนเป็นอยากรู้ อยากเห็นแทน เลยถามออกไปแบบไม่ทันคิดว่า อะไร1อะไร2และอะไร3แล้ว4 5 6 คืออะไรครับ คุรุตอบว่า อายตนะแรกที่เจ้าใช้ คือใช้หูฟัง ซึ่งเจ้าฟังได้ยินแล้ว อายตนะที่ 2คือ ปาก ใช้ในการรับรู้รสชาติ ซึ่งเจ้าก็ได้ใช้แล้ว เป็นไง น้ำตารสชาติเป็นยังไง ข้าพเจ้าตอบ เค็ม คุรุหัวเราะแล้วถามว่า นอกจากเห็นหน้าท่านแล้วเห็นอะไรอีก และการเห็นด้วยตานี่แหละคืออายตนะที่3 ที่เจ้าใช้ การรับรู้ในรูป ข้าพเจ้าไม่ตอบ แต่พูดต่อว่า หนาว คุรุ ท่านยิ้ม แล้วพูดว่า นี่ไงอายตนะที่ 4 สัมผัส รู้ร้อน รู้หนาว เริ่มเก่งขึ้นแล้วนี่ อายตนะที่5คือกลิ่น ได้กลิ่นอะไรมั๊ย ข้าพเจ้าเงียบและเริ่มพยายามดมกลิ่น พร้อมทั้งมองดูรอบๆตัว ค่อยๆสังเกตรอบๆห้องนี้ ตอนนี้ความกลัวหายไปหมดแล้ว เหลือแต่ความอยากรู้อยากเห็น ข้าพเจ้าเห็นคนอื่นนอกจากคุรุ ในห้อง เป็น คนแก่ไม่มีหนวดไม่มีเคราเหมือนคุรุ หัวล้านไม่มีผมซักเส้น ใส่ผ้านุ่งมีจีบอยู่ข้างหน้าเหมือนผ้าถุงลายสวยสีแดงลายทองเสื้อไม่ใส่ อ้วนมากๆเอาใหม่ต้องบอกว่าที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิตและก็ไม่คิดว่าคนที่พุงใหญ่ขนาดนี้จะยืนได้ มือถือไม้เท้าอันเล็กๆ ทาสีทอง มี เศษกระจกเล็กๆติดไปทั่ว เฮ้ย เค้าเรียกผ้านุ่ง เว้ยไม่ใช่ผ้าถุง ไม้เท้านี่เป็นทองคำแท้ๆนะโว้ยไม่ใช่ทาสีแล้วที่แว๊บๆน่ะเพชรนะเว้ยไม่ใช่กระจกไอ้เด็กเวร ตาต่ำเชียวเอ็งเสียงตะโกนดังลั่นจากคนแก่อ้วนๆที่ยืนอยู่ด้านหลังคุรุ ข้าพเจ้าสะดุ้ง และนึกโกรธในใจ ว่า แค่คิด แค่นี้ไม่เห็นต้องตะคอกเลย พอนึกได้ว่า ก็แค่คิดแล้วเขารู้ได้ไง ผีๆ ผี แน่เลย นี่เราโดนผีหลอกแน่ เท่านั้นแหละ คราวนี้สติแตกเลย ลุกขึ้นยืนได้ วิ่งสุดชีวิตหลับตาปี๋ วิ่งๆๆ วิ่งๆๆ จนเหนื่อย เลยหยุดพักพอหยุดและลืมตาขึ้น เอาล่ะสิ ทำไมมันมืดและก็หนาว อย่างนี้ล่ะที่ไหนล่ะเนี่ย รอบๆตัวข้าพเจ้ามืดมาก มองเห็นสว่างได้แค่ สุดปลายนิ้วเท่านั้น คราวนี้ก็เริ่ม กลัวอีกแล้วกลัวกว่าเดิมอีก แล้วก็ สะดุ้ง สุดตัวด้วยความตกใจ ก็มีมือ คน มาจับต้นแขนข้าพเจ้า ทั้งสองข้าง พอแหงนหน้ามอง โอ้ย เกือบสลบ คุรุ กับ คนแก่ที่อ้วนๆคนนั้นนี่นา พวกข้า หาเอ็ง มา พัน กว่าปีแล้ว หายากหาเย็นนัก คนแก่ที่อ้วนๆพูด คุรุพูดต่อว่า ต่อไปพวกเราจะมาหาทุกคืนวันพฤหัสไม่ต้องกลัว จะมาสอนวิชา สอนให้เก่งนะ แต่ตอนนี้ ไป กลับไปได้แล้ว คุรุมองไปที่ด้านซ้ายมือท่าน แล้วพูดขึ้นว่า เอา เด็ก กลับไปส่ง ได้แล้ว ข้าพเจ้าเหลือบมองตามคุรุ อยากรู้ว่าคุรุท่านคุยกับใคร เห็นเป็น ผู้หญิงผมยาว คุกเข่าเอาหัวแตะพื้นไม่เงยหน้า ใส่เสื้อผ้าสีเขียว พอคุรุพูดจบ ท่านกับคนแก่ที่อ้วนๆก็หายไปเหลือแต่ข้าพเจ้ากับผู้หญิงผมยาวคนนั้น เธอลุกขึ้นมาจูงมือข้าพเจ้า ซึ่งน่าแปลก ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวเธอเลย กลับเดินตามไปอย่างง่ายๆเหมือนมันเบลอๆ งงๆ รู้สึกมันหนักๆหัว ง่วงๆ แล้วก็มืดวูบไป ลืมตาขึ้นมา ข้าพเจ้านอนอยู่บนรถสามล้อ นอนบนตักแม่ ตามองเห็น ต้นไม้และศาล (หัวมุมโรงพยาบาลกลาง) ผู้หญิงผมยาวใส่ชุดสีเขียวยืนอยู่บนต้นไม้มองมาทางข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหลับไปอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาอีกทีรู้สึกเจ็บที่ต้นขาซ้าย มีคนหลายคนทำอะไรกับขา มีเลือดไหลด้วย ข้าพเจ้าดิ้น ด่า ถีบ ก็เจ็บ อ่ะนะ พวกนั้นพูดว่า อีกแป๊บเดียว หมอเย็บแผลจะเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าหลับไปอีกครั้ง ตื่นมาอีกครั้ง ได้ยินเสียงพ่อ กำลังทะเลาะกับใครไม่รู้นอกห้อง ข้าพเจ้านอนอยู่บนเตียงที่เย็บแผลเมื่อกี๊ มีพยาบาลยืนยิ้มให้อยู่ 2 คน หมอไม่อยู่ออกไปห้าม พ่อข้าพเจ้าที่รู้สึกว่ากำลังทะเลาะกับใครอยู่เสียงดังลั่น ข้าพเจ้าจึงเริ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ อืม ใช่ ข้าพเจ้านึกออกแล้ว ว่า เข้าไปขอเงินแม่เพื่อไปซื้อขนม ฝั่งตรงข้ามกับบ้านญาติที่แม่พาข้าพเจ้ามานั่งเล่น พอวิ่งข้ามถนนไป ก็ เปรี้ยง รถมอเตอร์ไซค์ เวสป้า มั๊ง ชนตูม ข้าเจ้าล้มลง แต่ด้วยความตกใจ ก็เลยลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับมาจะหาแม่ ตะโกนเรียก แม่ ได้คำเดียวแล้วก็ล้มลงไป หัวฟาดขอบฟุตบาท หลับยาวเลย แล้วก็ฝันเรื่อง คุรุ เรื่อง คนแก่ที่อ้วนๆ ผู้หญิงผมยาว แต่ มันเหมือนจริงมากเลยนะ คิดไปคิดมาซักพักก็หลับไป แต่ในหูยังดังก้องอยู่ว่า ต่อไปพวกเราจะมาหาทุกคืนวันพฤหัสไม่ต้องกลัว จะมาสอนวิชา สอนให้เก่งนะ แต่ตอนนี้ ไป กลับไปได้แล้ว
เป็นไง ฟังแล้ว คงรู้สึกแปลกๆ มาเรา.....มาคุยเรื่องวันพฤหัส ดีกว่า
ความจริง ข้าพเจ้าไม่เคยรู้หรอกว่าคืนไหนเป็นวันพฤหัส แต่ที่แน่ๆคือถ้าเข้านอนตามปกติและพอ ลืมตามาก็เจอห้องเดิม นั่งอยู่ที่เดิม บนพื้น คุรุ นั่งอยู่ บนพื้นอีกระดับหนึ่ง สูงกว่าพื้นที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ประมาณหนึ่งขั้นบันได เป็นพื้นไม้แน่ใจได้เลยล่ะว่าวันพฤหัส คืนนี้เป็นคืนแรกที่ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเอง อยู่บนพื้นห้อง มีคุรุนั่งอยู่เหมือนเมื่อครั้งที่โดนรถชนครั้งนั้น คำพูดที่ยังคงจำได้ติดหูแต่ชักไม่แน่ใจว่า ต่อไปพวกเราจะมาหาทุกคืนวันพฤหัสไม่ต้องกลัว จะมาสอนวิชา สอนให้เก่งนะ แต่ตอนนี้ ไป กลับไปได้แล้ว ที่ไม่แน่ใจเพราะจากวันที่โดนรถชนคราวนั้นกับวันนี้มันห่างกันตั้งเกือบ 10 ปี ก็เลยไม่เข้าใจว่าคำที่ท่านคุรุพูดหมายความถึงอะไร จะมาสอนทุกวันพฤหัส ใน อีก 10 ปี ข้างหน้าหรือไง แต่ถึงยังไงๆคราวนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกกลัว แต่ก็ยังคงระแวง กลัว ชายแก่ที่อ้วนๆคนนั้น เลยมองรอบๆ เห็นคุรุนั่งอยู่คนเดียว เลยรู้สึกสบายใจขึ้น ข้าพเจ้าสังเกตว่าห้อง นี้ คล้ายห้องเดิม ที่มาเมื่อคราวก่อน คุรุ มีรูปหน้ายาว ไว้หนวดเครายาว ไว้ผมยาว สีดำมีสีขาวแซมเล็กน้อยทำให้ดูออกสีเทาๆหยิกน้อยๆ รวบผม เกล้าเป็นมวย นุ่งห่ม ด้วยผ้าสีขาวแต่ไม่ขาวมากเลยมอง ดูเก่าๆ คิ้วเข้ม ผิวขาว ผอม นั่งหลับตา หันมาทางข้าพเจ้า มีควันบางๆสีทองเหมือนฝุ่นละอองเล็กๆระยิบระยับ คลุมอยู่รอบตัวคุรุ เหมือนท่านนั่งอยู่ในลูกบอล สีทอง ยังไง ยัง งั้น เลย ห้องมีกลิ่นหอมอ่อน เหมือนกลิ่นธูป แต่หอมกว่า มีแสงสว่างแต่สว่างจากอะไรไม่รู้ เพราะไม่เห็นเทียน ตะเกียง หลอดไฟ แถมห้องยังไม่มีหน้าต่างด้วยซ้ำ แต่ที่เหมือนเดิมคือ หนาว คุรุนั่งหลับตานิ่งเงียบ ข้าพเจ้าก็เลยถือโอกาสสังเกตรอบๆห้อง แต่ไม่กล้าส่งเสียงดัง พอมองหน้าคุรุอีกครั้ง ก็เห็นท่านลืมตามองดูข้าพเจ้า ท่านยิ้มเล็กน้อย ลูกบอลสีทองรอบตัวท่านหายไปแล้ว ข้าพเจ้าคิดในใจ ว่า อยากมีแบบนี้บ้างจะเอาไปเล่นให้เพื่อนๆดู แค่คิดในใจ เสียง มันก็ดังออกมา จนข้าพเจ้าสะดุ้ง สุดตัว คุรุมอง ยิ้ม หัวเราะเบาๆ แล้วจึงพุดขึ้นว่า ปู่ได้รับมอบหน้าที่ในสอน วิชาตันตระพื้นฐานให้กับเจ้า ตั้งใจเรียนให้ดีนะ จะได้มีลูกบอลสีสวยๆเอาไว้เล่นไง ท่านยิ้ม แล้วพูดต่อว่า หนาวเหรอ ข้าพเจ้ารีบพยักหน้า ท่านหลับตาแล้วพูดช้าๆว่า หลับตา แล้วคิดถึงกองไฟ กองใหญ่ ๆ ฟืนท่อนโตๆ ดูซิ ข้าพเจ้ารีบหลับตา ทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็มืด ไม่เห็นอะไรเลย กำลังจะลืมตาอยู่แล้วเชียว คุรุก็พูดขึ้นมาว่า เดี๋ยว ปู่จะเดินเข้าไปหา เอาไฟไปให้ พอสิ้นเสียงท่านภาพที่ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจจากที่มืดๆ ข้าพเจ้าก็เห็นท่านคุรุ เดินถือท่อนฟืนที่จุดไฟลุกโชนเดินเข้ามาหาข้าพเจ้าในความมืด ท่านวางท่อนฟืนติดไฟไว้บนพื้น แล้วบอกข้าพเจ้าว่า เติมฟืนลงไปสิ ข้าพเจ้า นิ่งเงียบ ก็ไม่รู้จะไปเอาฟืนที่ไหนนี่นา จะให้ลืมตา เดินไปหา หรือให้หลับตาคลำเอา ขณะที่กำลัง งง มาก ก็มีเสียงที่คุ้นเคยหัวเราะเบาๆ ก็จะใครอีกล่ะ ชายแก่ที่อ้วนๆเสียงดังๆคนเดิมนั่นเอง ข้าพเจ้าเสียวสันหลังวูบ ชายแก่ที่อ้วนๆ พูดขึ้นเบาๆว่า แบมือสิวะ แล้วคิดเอาว่ามีฟืนอยู่ในมือ ข้าพเจ้ารีบทำตาม พอยื่นมือออกไปก็รู้สึกว่าหนักๆมือเหมือนมีไม้ฟืนอันใหญ่มากๆอยู่ในมือ ชายแก่ที่อ้วนๆ หัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า คิดให้เล็กลงซิ แล้วโยนเข้าไปตรงท่อนฟืนที่มีไฟติดอยู่สิ ข้าพเจ้าทำตามทันที รู้สึกทันทีว่าท่อนฟืนเล็กลง เบาขึ้น พอทำมือโยนออกไป ก็เหมือนท่อนฟืน ออกไปจริงๆ สภาพเหมือนมีท่อนฟืนจริงๆ ในมือ ส่วนภาพในใจก็เห็นท่อนฟืนหล่นลงไปบนท่อนฟืนติดไฟที่คุรุนำมาให้และวางไว้ตรงหน้าข้าพเจ้า เฮ้ยไอ้หนู โยนฟืนลงบนไฟ ทำไมไฟไม่ติดวะ ไฟติดซะทีสิวะ ชายแก่ที่อ้วนๆพูดขึ้น ข้าพเจ้าคิดได้ว่า เออ ใช่ จริงด้วย พอคิดเท่านั้นเอง ไฟ ก็ลุกติดที่ฟืน ถ้ายังหนาวก็เติมฟืนเยอะๆสิ คุรุพูดขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกสนุกมากกว่า จึงลืมความหนาวหมดแล้วแต่อยากลองเล่น แบบว่า ก็มันสนุกดีนี่ ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาโยนฟืนต่อไปเรื่อยๆ จนไฟกองใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น สีสวย อุ่นดี สนุกว่ะ ในใจนึก เฮ้ย ไฟเยอะขนาดนี้เอ็งไม่ร้อน รึ ชายแก่ที่อ้วนๆพูดขัดขึ้น พอสิ้นเสียงเท่านั้น ข้าพเจ้าก็คิดตาม พอคิดเท่านั้นแหละ เอาล่ะสิ ร้อนทันที หน้าร้อนตัวร้อน ถอยหลังกระเถิบหนีอย่างเดียวเลย เพ่งที่ไฟ สิ เพ่งมองที่ไฟ มองมันให้เล็กลง หรี่ตาลง ค่อยๆหรี่ตาลง คิดอย่างเดียวนะ ว่ามันต้องเล็กลง ต้องเล็กลง พอเล็กลง ก็ไม่ร้อน อยากให้ร้อนแค่ไหน ก็หยุดแค่นั้น ค่อยๆทำจิตนิ่งๆ คิดช้าๆไม่ต้องรีบ คุรุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นชวนฟัง ข้าพเจ้าก็เริ่มคิดตามเริ่มทำตาม เอาสิ ชักสนุก เฮ้ย ใหญ่ก็ได้ เล็กก็ได้ เอาล่ะสนุกจริง เอาล่ะพอเลิกเล่นได้แล้วเอาเปลวไฟแค่พออุ่น คิดเหลือไว้แค่ เปลวไฟ ฟืนไม่ต้องใช้แล้วลืมฟืนไปเลยทิ้งมันไป เออ ดี อย่างนั้นแหละ คราวนี้จำแค่ความอุ่น เปลวไฟก็ไม่ต้องใช้แล้ว นั่นแหละ อย่างนั้นถูกต้องแล้ว ทีนี้ ลืมตาช้าๆ จำไว้แต่ความอุ่นก็พอไม่ต้องมีไฟ ไม่ต้องมีฟืน มีแต่ความอุ่นเท่านั้นพอ คุรุพูดต่อช้าๆ ข้าพเจ้าลืมตา อืม ไม่หนาวแล้วแฮะ อุ่นกำลังสบาย มองไปข้างหน้าเห็น คุรุ นั่ง อยู่กับ คนแก่ ที่อ้วนๆ กำลังยิ้มให้ข้าพเจ้าทั้งคู่ คนแก่ที่อ้วนๆ มองข้าพเจ้าแล้วยิ้มเป็นยิ้มแรกเป็น ยิ้มที่แสนอบอุ่น และฝังอยู่ในใจทำให้ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมรอยยิ้มในวันนั้นได้เลย ท่านกระพริบตาข้างซ้ายข้างเดียวให้ข้าพเจ้าพร้อมกับพูดว่า เรียกข้าว่า คุรุธัญญะ แล้วเรียก เขาว่าคุรุตันตระชายแก่ที่อ้วนๆพูดไปก็ชี้มือมาที่คุรุ ตันตระก้มศีรษะลงช้าๆ เสมือนรับคำสั่งจากคุรุธัญญะ วันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มให้จำเรื่องเมืองบนนี้ได้ เรามา เริ่มต้นกันที่ การเคลื่อนพระเวทย์แบบง่ายๆก่อนละกันคุรุตันตระเอ่ยกับข้าพเจ้า ขั้นแรก ให้สบาย ๆ ปล่อยใจให้สบาย นึกถึงแต่เรื่องสบายๆ อยากนึกอะไรก็นึก อยากคิดอะไรก็คิด อย่าคิดเรื่องที่ปะติดปะต่อกัน นึกถึงแต่เรื่องที่ไม่มีสาระ เช่น นกบนฟ้า ปลาในน้ำ ต้นไม้กลางสายฝน คิดสลับไปทางนั้นที ทางนี้ที ตั้งใจอยู่ที่ลมหายใจเพียงอย่างเดียว ให้นึกในใจตอนหายใจเข้า ว่า เกิด หายใจออก ว่า ตาย พอจิตสงบดีแล้ว นั่งขัดสมาธิ เพ่งจิต มองลงไปยัง มณีปุระจักร (จุดศูนย์รวมหรือเตาเผาพระเวทย์ของชาวตันตระเป็นที่อยู่ของดวงจิต) เห็นอะไรมั๊ย คุรุตันตระพูดช้าๆเหมือนค่อยๆอธิบายทีละขั้นตอนเพื่อให้ข้าพเจ้าเข้าใจโดยละเอียด และเมื่อข้าพเจ้าเริ่มหายใจเข้า หายใจออก ได้ซักพักนึง ก็เริ่มรู้สึกว่าจิตใจสงบลง เรื่อยๆ ค่อยๆนึกถึงจุดมณีปุระจักร ที่คุรุตันตระท่านได้กล่าวถึง ตั้งใจมองอยากเห็น ข้าพเจ้าคิด คุรุตันตระกล่าวว่า อย่าเอาสมองมาบังคับจิต และอย่าสั่งจิต แต่จงใช้ความอ่อนโยน ผ่อนคลาย ตั้งใจแค่อยากเห็น แล้วทำใจสบายๆไม่ต้องย้ำความคิด แค่คิดครั้งเดียว จิตก็รับรู้แล้ว ข้าพเจ้าทำตามอย่างว่าง่าย ซักอึดใจ ข้าพเจ้ารู้สึกสบายๆปลอดโปร่งมากๆก็เลยค่อยๆหลับตาลง พอหลับตาลง แทนที่จะมืดกลับสว่างๆเหมือนอยู่กลางแดดจ้าๆ ข้าพเจ้ารีบลืมตา ความสว่างในห้องก็ยังคงเท่าเดิม ไม่สว่างนัก ทำไมเป็นอย่างนี้ แสงอะไรทำไมสว่างจัง ข้าพเจ้าบ่นกับตัวเองเสียงเบาๆ คุรุตันตระหัวเราะในลำคอแล้วพูดว่า ก็ไฟพระเวทย์ที่มณีปุระจักรของเจ้าไง ลองดูอีกทีซิ ถ้าสว่างไป ก็กำหนดให้สว่างน้อยลง ให้เล็กลง ให้ใหญ่ขึ้น เหมือนกับการกำหนดกองไฟ เมื่อกี่นี้ไง ข้าพเจ้ารีบหลับตาลง เห็นแสงสว่างจ้า เหมือนเดิม แล้วก็ทำตามขั้นตอนที่ คุรุตันตระได้แนะนำ แสงสว่างเริ่มหรี่ ลง เรื่อยๆ เล็กลง ๆ จนเหลือขนาดเท่ากำปั้น ของข้าพเจ้า มีลักษณะเหมือนลูกบอล มีไฟลุกไหม้ เป็นลูกกลมๆ เปลวไฟเป็นสีทอง สวยมากๆ นี่น่ะหรอ ไฟพระเวทย์ แปลกดี แฮะ ข้าพเจ้าคิดกับตัวเอง แต่เสียงก็ดังออกมาจนสะดุ้ง คุรุตันตระพูดขึ้นเบาๆว่า เมื่อควบคุม ไฟพระเวทย์ได้แล้ว ก็มารู้เรื่องอื่นๆกันต่อ เรื่องสำคัญที่สุด ก็คือ กฎลัทธิ มีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ คือ ข้อ1 ห้ามฆ่าตัวตาย ข้อ2 ห้ามฆ่าพ่อแม่ตนเอง ข้อ3 ห้ามทำร้ายร่างกายคนในลัทธิจนเลือดตกยางออก ข้อ4 ทำตามคำสั่งเจ้าลัทธิ ข้าพเจ้าคิดตาม และนึกในใจ ใครจะไปฆ่าตัวตายแล้วเรื่องอะไรจะฆ่าพ่อแม่ แล้วทำไมต้องทำร้ายคนในลัทธิ แล้วเจ้าลัทธิคือใคร อือ งง ดีว่ะ คุรุตันตระจึงพูดขึ้นมาว่า อีกหน่อยก็รู้เอง วันนี้พอแค่นี้ก่อน แต่ก่อนจะกลับไป เอาการบ้านกลับไปทำด้วย นะ ให้นั่งสมาธิ นับแค่ 1 ถึง 100 โดยเมื่อหายใจเข้าให้คิดว่าเกิด เมื่อหายใจออกให้คิดว่าตาย ทำอย่างนี้ ให้ได้ 100 ครั้งให้ทำ ก่อนนอนทุกคืน อย่าลืมล่ะ พฤหัสหน้าเจอกันใหม่ ข้าพเจ้าพยักหน้ารับคำ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้า จำเรื่องการเรียนของตันตระได้ ภายหลัง จึงรู้ว่า ที่จริง ข้าพเจ้าขึ้นไปเรียนกับคุรุตันตระ ทุกวันพฤหัส มาเกือบสิบปีแล้ว แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำความจำติดตัวลงมา จนวันนี้ที่ข้าพเจ้าอายุ ครบ 12 ปี เต็ม ซึ่ง ตามระเบียบของลัทธิตันตระ ผู้ที่จะศึกษาวิชชาตันตระนั้นจะต้องมีอายุ 12 ปีเต็มขึ้นไป และไม่เกินอายุ 36 ปี เนื่องจาก หากอายุต่ำกว่า 12 ปี จะไม่สามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในแง่ปรัชญา ได้ แต่ก็มีการยกเว้นคือ สามารถรับพระเวทย์ มาเก็บไว้ในร่างกายได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ (ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับสิทธิ์นั้น) และที่ไม่รับคนที่ อายุ เกิน 36 ปี เพราะ คนเมื่ออายุยิ่งมาก จะเอาแต่จำ ไม่ยอมที่จะลืม เก็บทุกอย่าง ทิ้งไม่ได้ วางไม่เป็น ไม่เหมือนเด็กที่มักจะจำข้างหน้า หรือเลือกจำแต่ของใหม่ๆ โดยมักจะลืมของเก่า ทำให้ง่ายต่อการศึกษาวิชาตันตระ เพราะการศึกษาวิชาตันตระ เปรียบตนเองเป็นดั่งต้นไม้ เพื่อการเจริญเติบโต บางครั้งต้องผลัดใบ ทิ้งความรู้ความเข้าใจที่มีที่สะสมมา เพื่อ จะได้ผลิใบใหม่ ดังนั้น ความรู้ใดก็ตามถึงแม้จะได้รับมาจากการศึกษาวิชาตันตระหรือได้รับมาจากที่ใดผู้รู้ใด ก็ตาม หายไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ก็จำต้องเก็บเอาไว้มิให้นำมาใช้อีก เช่นคำสอนของคุรุ บางคำ ที่เคยสอนมาอาจจะสอนมา นานเป็นปี เป็นเดือน เป็นวัน แต่เมื่อได้รับคำสอนใหม่ที่ แย้งกับคำสอนเก่า เราก็ต้องทิ้ง คำสอนเก่าน้อมรับคำสอนใหม่มาใช้ โดยทันที เป็นไง สนุกดีมั๊ย หรือเริ่มปวดหัวกับหลักวิชาการวกๆวนๆของข้าพเจ้าแล้วล่ะ ถ้ายังไม่ปวดหัว ก็ตามมา มาคุยกันเรื่องต่อไป
เรื่องเก้าอี้ ในพฤหัสนึงเมื่อข้าพเจ้าอายุได้ประมาณ 13 ปี คุรุตันตระ ได้พูดถึง ความเหมาะสม และความต้องการของคนแต่ละคน ให้ฟังใจความว่า (เล่ายาวแล้วไว้มาเล่าต่อถ้าพวกคุณยังไม่เบื่อที่จะฟัง)