เรื่องเก้าอี้
ในคืนนึงของวันพฤหัสเช่นเคย ข้าพเจ้าก็มานั่งที่เดิมแบบเดิมต่อหน้าท่านคุรุท่านเดิม ท่านคุรุเอ่ยถามข้าพเจ้าว่า อยากนั่งให้สบายกว่านี้มั๊ยมีเหรอครับที่จะปฏิเสธ พอได้ยินก็พยักหน้าอย่างเดียวเลยครับ คุรุท่านจึงบอกว่า ด้านหลังมี เดินเข้าไปหยิบมาสิ ข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในห้องด้านหลังอย่างว่าง่าย แต่พอเข้าไปในห้องถึงกับ อึ้ง ครับ ก็มันไม่มีเบาะ ไม่มีเก้าอี้ มีแต่ไม้ เหล็ก หิน ผ้า นุ่น วัสดุ อุปกรณ์ เยอะแยะมากมาย เอาล่ะสิ ทำไงดีหว่า ว่าแล้วขาก็เร็วกว่า วิ่งๆๆๆกลับไปถามท่านคุรุ เรียนท่านว่า ไม่เห็นมีอะไรเลยในห้องมีแต่สารพัดวัสดุ และ อุปกรณ์ ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม ตามแบบฉบับเดิม แล้วพูดว่า นั่นแหละความสบายล่ะ อยากได้เก้าอี้ซักตัวก็เข้าไปหา วัสดุ อุปกรณ์ทำเองเลย ตีความหมายของเก้าอี้ ให้ได้ และถามตัวเองสิว่าอยากได้เก้าอี้แบบไหน อย่าลืมคิดถึงความเหมาะสมของเก้าอี้ทั้งต่อตัวเราเอง และต่อผู้อื่น ความเหมาะสมต่อสถานที่ ที่จะนำไปใช้ และ เวลาที่จะใช้ ด้วยล่ะ วัสดุ อุปกรณ์ ที่เห็นก็เปรียบเสมือนกับ ความเป็นตัวเรา ที่เราจะเลือกขึ้นมา เปรียบเสมือนความรู้ที่คุรุถ่ายทอดให้ เจ้าจะใช้เวลากี่เที่ยวที่จะขนความรู้เหล่านั้นเพื่อมาประกอบเป็นเก้าอี้ 1 ตัว และจะทำเก้าอี้ได้ เหมาะสมกับตัวเจ้าหรือไม่ เมื่อเหมาะสมกับตัวเจ้าแล้วเก้าอี้นั้นเจ้าจะชอบมันหรือเปล่า คนรอบตัวเจ้า สังคมที่เจ้าอยู่จะยอมรับเก้าอี้นั้นหรือเปล่าและ ไม่ว่าเจ้าจะทำเป็นหรือไม่เป็น มันก็คือเก้าอี้ของเจ้า แม้ไม้ซักท่อน ผ้าซักผืน ก็เป็นเก้าอี้ของเจ้า จงเลือกและทำขึ้นมาให้ดี
เหตุแห่งใบไม้ไหว
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินตามท่านคุรุออกไปนอกห้องเรียน เพราะปกติหลับทีไรตื่นมาในฝันจะพบท่านนั่งอยู่ในห้องทุกครั้ง และมักจะนั่งเรียนอยู่ในห้องนั้นทุกครั้งเช่นกัน แต่คืนนี้แปลกไปเพราะเมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นกลับพบห้องว่างเปล่าไม่มีคุรุนั่งอยู่ที่เดิม ขณะที่กำลัง งง งง อยู่ก็ได้ยินเสียงเรียก ออกมาทางนี้สิ ใจก็กล้าๆกลัวๆ ค่อยๆย่องออกไปทางประตูด้านข้างซึ่งเวลาเรียนตามปกตินั้นข้าพเจ้าจะอยากรู้นักอยากรู้เหลือเกินว่าข้างนอกมันจะมีอะไร ว่าไปแล้ววันนี้ก็สมใจได้เดินออกไปเห็นซะที แต่ก็อย่างว่าแหละ พอจะได้ออกไปดูจริงๆก็เสียวๆพิกล คิดไปเรื่อยว่าจะเป็นอย่างไร เป็นสวรรค์มีดาวระยิบระยับหรือเปล่าหรือจะเป็นเมฆ หมอกควัน พื้นข้างนอกจะเห็นท้องฟ้า จะมีอะไรข้างนอกนั้นนะ อะไรคือดินแดนตันตระ โอ๊ย สารพัดจะคิด จนมีเสียงดังอีกครั้งว่า จะออกมาได้หรือยัง เท่านั้นแหละวิ่งตื๋อ ออกไปข้างนอกทันที พอออกไปยืน ข้างนอกเท่านั้นแหละความงง สงสัย แปลกใจ ปรากฏขึ้นทันทีทันใด นี่มันก็สวนหลังบ้านดีๆนี่เองไม่เห็นเป็นสวรรค์วิมานอะไรเลย งง เซ็งด้วย อุตส่าห์นึกว่าจะได้เห็นสวรรค์ซักหน่อย แต่ป่าวเลย สวนดีๆนี่เอง พอความรู้สึกนี้จางหายไป ก็เริ่มสังเกต เห็นว่าสวนนี้มีอะไรแปลกๆ พื้นส่วนที่โรยหินกรวดกลับกลายเป็นหินรูปไข่ขนาดเท่าไข่ไก่ฟองโตๆ ผิวสวยเรียบลื่นเงาวาว มีสีเขียว สีเขียวลายแดง สีขาว สีดำ หลากหลายสีสัน (โตขึ้นมาภายหลังจึงได้ทราบว่ามันคือพลอย) หญ้าเอยใบไม้เอยเป็นสีม่วงอ่อน ม่วงแก่ มีลำธารเล็กๆ ด้วยแต่ที่น่าแปลกคือน้ำในลำธารกลับมีสีแดง เริ่มมองสังเกตไปเรื่อยๆ ท่านคุรุก็เอ่ยถามว่า รู้หรือไม่ว่าเหตุใดใบไม้จึงไหว สั่นหัวคือการกระทำแรกของข้าพเจ้า แล้วค่อยตอบว่าไม่รู้ ลมพัดไงข้าพเจ้าตอบจนได้หลังจากที่ท่านคุรุก้มลงมามองหน้า แล้วพูดว่า การจะเป็นผู้รู้ต้องตอบปรัชญาต่างๆให้ได้เสมอไม่ว่าจะถูกหรือผิดเพราะคำตอบนั้นเป็นเพียงแค่ความคิดของเราไม่ใช่ข้อสรุป ตอบไปแล้วด้วยความภูมิใจ แหงนหน้าขึ้นมองท่านด้วยความภาคภูมิ แต่ท่านกลับส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบว่า ใบไม้ไหว เพราะเรานิ่งกว่าใบไม้ ตอบแล้วท่านคุรุก็เดินกลับไปยังห้องเรียน ข้าพเจ้าก็เดินตามกลับเข้าไปด้วยความงุนงง เมื่อกลับเข้าไปนั่งประจำที่เรียนแล้ว ท่านคุรุจึงเอ่ยว่า ใบไม้มันไหวของมันอยู่ตลอดเวลาเพียงแต่เราไม่เคยหยุดดูมันและหรือไม่ก็ไม่มีปัญญาสามารถจะเห็นมันได้ เมื่อเราหยุดนิ่งกว่ามันเพื่อสังเกตมัน เราจึงรู้ได้ว่าใบไม้ไหวไง เสมือนคน ที่หยุดตัวเองเพื่อ รับรู้เรื่องบางเรื่องย่อมได้ผลดีกว่าการที่รับรู้เรื่องบางเรื่องโดยที่ไม่ได้หยุดพิจารณา ด้วยความตั้งใจ และทีนี้ เอ็งพร้อมจะหยุดนิ่งเพื่อเรียนกันต่อแล้วหรือยังล่ะด้วยคำสอนนี้เองทำให้ข้าพเจ้าในปัจจุบัน มองฟ้าสวยขึ้น มองต้นไม้สวยขึ้นรับรู้ถึงอารมณ์แห่งธรรมชาติได้ ดื่มน้ำได้มีรสชาติที่ดี รับรู้ในรสของอาหาร และเข้าถึงอารมณ์และความทุกข์ของผู้อื่นได้เป็นอย่างดี แล้วท่านล่ะจะได้อะไรไปบ้างจากคำสอนที่ดีๆอีกหนึ่งคำสอนนี้