ReadyPlanet.com


การทำสมาธิของตันตระเทวาลัย มาให้อ่าน
avatar
อาจาอาจารย์


การทำสมาธิแบบตันตระเทวาลัย

การทำสมาธิแบบตันตระเทวาลัยนั้นค่อนข้างแตกต่างจากการทำสมาธิแบบพุทธกล่าวคือ การทำสมาธิแบบตันตระนั้นมุ่งเน้นการปล่อยจิตใจ(ดวงจิตและวิญญาณ)ให้คลายและสบายเมื่อดวงจิตคลายออกแล้ว(โดยจะคลายออกด้วยการสวดบทอัญเชิญจิตบูชาครูบาอาจารย์อัญเชิญเหล่าเทพเทวามาขจัดเอาสิ่งเลวร้ายชั่วช้าให้จิตสะอาดมีพลัง ขอพรให้ผู้ทำพิธีมีแต่ความสุขความเจริญซึ่งในขณะที่สวดนั้นผู้สวดต้องใช้พลังพระเวทย์เข้าไปร่วมทำการด้วยแต่เป็นเพียงพลังอ่อนๆเท่านั้นซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบพิธีโดยการปล่อยใจให้สบายๆเปิดรับความรู้สึกและพลังงานที่ปล่อยผ่านเข้าไปทางจักระต่างๆด้วย)ผู้ประกอบพิธีจะมีระดับจิตที่สะอาดและสูงขึ้นเพื่อสามารถรับพรจากองค์เทพเจ้าได้ที่สำคัญมากๆคือเมื่อเปิดจิตแล้วอย่าได้คิดทึกทักว่าตนเองมีองค์มีทรงมีเจ้าโดยเด็ดขาดองค์เทพนั้นมีจริงและสูงส่งมากกว่าที่พวกมนุษย์อย่างเราๆท่านๆจะเข้าใจได้ถ่องแท้มีบางท่านถามว่าสามารถแผ่เมตตาหลังจากทำสมาธิได้หรือไม่ ขอชี้แจงว่าการแผ่เมตตาสามารถทำได้แม้แต่ไม่ได้นั่งสมาธิ ทำได้ทุกเวลา และยิ่งทำมากยิ่งมีมากเพราะยิ่งแผ่เมตตาจิตใจยิ่งมีเมตตาแต่ที่สำคัญคือคุณแผ่เมตตาให้กับคนที่ต้องการเมตตาจากคุณหรือเปล่าถ้าคุณไม่สนใจข้อนั้นก็ไม่มีปัญหาครับหากเพียงแต่ว่าการนั่งสมาธิแบบตันตระเทวาลัยนั้นได้รับบารมีจากองค์เทพครับอนึ่งการนั่งสมาธิแบบตันตระเทวาลัยแบ่งออกเป็น 5 ระดับ คือ(กรณีนี้ขอชี้แจงเลยละกันเพราะมักจะมีลูกศิษย์หาว่าเจ้าบ้านชอบกั๊กวิชาเอาไว้)

1 การนั่งสมาธิพื้นฐานเพื่อเปิดจิต เมื่อเริ่มนั่งจะมีการการขยับเพื่อปรับจิต(เพื่อให้ ดวงจิต ,ดวงวิญญาณ ,สังขารขยับและปรับเข้าที่ มนุษย์เราเกิดกี่ชาติก็จิตดวงเดิม ดังนั้นวิธีการทำสมาธิของแต่ละภพแต่ละชาติก็จะมีท่าทางและวิธีการต่างกันไป ทางตันตระเทวาลัยเพียงแต่เป็นสื่อโดยการส่งพลังเล็กน้อย(เล็กน้อยจริงๆน้อยการการพุทธาภิเษกหรือการรดน้ำมนตร์ของพระเกจิอาจารย์ทั่วๆไปเสียอีกเพราะขนาดคนสูงอายุหรือเด็ก4-5ขวบก็สามารถนั่งได้)เข้าไปขยับเพื่อปรับและเปิดจิตให้

2 การนั่งเพื่อสะสมบารมีกรณีนี้ควรจะต้องมีประคำเพื่อสะสมบารมีอย่างน้อยซัก 1 เส้น เนื่องจากในแต่ละชาติภพ เราได้รับบารมีและร่ำเรียนวิชาต่างๆมาจากหลากหลายสำนักหลากหลายครูบาอาจารย์ จำเป็นต้องคัดแยกให้ชัดเจน การนั่งในชั้นนี้ จะนั่งเพื่อค้นหาชาติภพ ที่ดีที่สุดและทำการเก็บสะสมบารมีไว้เพื่อใช้ในชาติภพนี้และชาติภพต่อๆไป(การนั่งในแบบนี้ มักจะเริ่มต้นและจบลงได้โดยเร็วบางคนก็สังขารขยับและจบได้หลายๆครั้งในการนั่งเพียง3-5นาทีบางคนก็นิ่งสงบตั้งแต่เริ่มนั่งจนจบกรณีที่ขยับหมายถึงการศึกษาในแต่ละชาติภพนั้นค่อนข้างแตกต่างกันมาก แต่ถ้านิ่งสงบตั้งแต่เริ่มจนจบแสดงว่าแนวทางในแต่ละชาติภพนั้นไม่ต่างกันมากนัก(หากกรณีที่ไม่ต้องการบำเพ็ญเพื่อค้นหาแล้วทำได้ 2 วิธี คือ การปรับประคำเลื่อนชั้น (ขึ้นไปขั้นที่3)และ การคืนประคำให้ทางตันตระเทวาลัย  (เมื่อคืนแล้วทางตันตระเทวาลัยจะนำประคำไปบรรจุและส่งบารมีในทุกๆชาติของบุคคลผู้นั้นกลับไปในชาติภพเดิมๆ จนหมดสิ้น)

3 การนั่งเพื่อรวบรวมพลังบารมีต้องมีประคำเฉพาะในการนี้ อีก 1 เส้น(ฟังแล้วอาจเหมือนการค้าไปนิด แต่จำเป็นจริงๆ ทุกท่านที่เคยมาที่ตันตระเทวาลัยแล้วคงจะเข้าใจดีว่าเราไม่ได้หวังอะไรในทางการค้าอยู่แล้ว)และนอกจากประคำแล้ว ต้องมีท่านั่งสมาธิประจำอีก 1 ท่าเป็นท่าเฉพาะของแต่ละสาย คราวนี้จะนั่งสมาธิโดยสังขารไม่ขยับแล้ว นิ่งสงบตลอดเลยล่ะ ถ้าขยับแสดงว่าร่างกายอ่อนเพลียหรือวิญญาณและจิตไม่สมดุล ควรลืมตาแล้วหยุดนั่งดื่มน้ำและพักผ่อนมากๆ

4 การนั่งเพื่อประทานบารมี การให้บารมีแก่ผู้อื่นก็จะได้บารมีนั้นย้อนกลับมาหาตัวเองเป็นมหากุศลสามารถช่วยเพื่อนมนุษย์และเหล่าสัมภเวสีได้รวมทั้งมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งบนโลกและในนรกภูมิ (กรณีนี้ก็มีประคำเฉพาะอีกและท่าการทำสมาธิเฉพาะอีกด้วย)เมื่อถึงในระดับที่ 4 นี้แล้วสังขารไม่ขยับแน่นอนและก็เหมือนกับขั้นที่3คือถ้าสังขารขยับก็แปลว่าร่างกายอ่อนเพลียหรือวิญญาณและจิตไม่สมดุล ควรลืมตาแล้วหยุดนั่งดื่มน้ำและพักผ่อนมากๆ

5 การนั่งสมาธิเพื่อประทานพรบารมี เนื่องจากการนั่งสมาธิและสะสมบารมีจนมากเพียงพอแล้วนั้นสามารถสะสมบารมีเพื่อใช้ได้ต่อเนื่องกันเพียง 10 ชาติเท่านั้น รวมชาติปัจจุบันด้วยก็คือ จะมีบารมีสูงๆเช่นนี้อีก 9 ชาติจึงจำเป็นต้องมีการประทานพรบารมีให้กับผู้อื่น หรือผู้ตกทุกข์หรือได้รับทุกข์ต่างๆ เพื่อเป็นมหากุศล มหาบารมี เพื่อส่งเสริมให้เราได้รับความเจริญความดีงามเป็นที่รักและโปรดปรานของเหล่าทวยเทพทั้งหลายไปชั่วกาลนาน(ในกรณีนี้ก็แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีประคำเฉพาะอีกแล้วและมีท่าเฉพาะอีกด้วยส่วนการนั่งสมาธิในระดับนี้ไม่นั่งนานนักแค่ นับ1-100พอถ้าใครเข้ามาในตันตระเทวาลัยแล้วพบพวกที่สวมประคำระดับนี้แล้วล่ะก็ตีซี้ทำตัวสนิทๆไว้เลย เวลาเขาจะนั่งสมาธิเเม่อไหร่ก็ขอนั่งใกล้ๆเข้าไว้เวลานั่งก็อธิษฐานจิตขอบารมีอยากได้อะไรทุกข์เรื่องไหนขอไว้เหอะมีลุ้นมากมายเชียว แหละ)

               ส่วนพวกที่เป็นประคำระดับ 5 คือระดับสูงกว่านี้เป็นพวกที่ตันตระเทวาลัยขอเชิญครับให้เข้ามาร่วมเป็นตันตริกด้วยเนื่องจากเห็นแววครับ (อันนี้ขอไม่ขยายความนะครับ)

คราวหน้าคาดว่าจะไขปริศนาเรื่องท่าทางระหว่างการเปิดจิต ดีหรือเปล่านะ(ขอคิดดูก่อนดีกว่า)



ผู้ตั้งกระทู้ อาจาอาจารย์ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-04-11 09:49:23


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (929252)
avatar
A17

ดีค่ะ เป็นคนหนึ่งที่อยากทราบปริศนานี้เหมือนกันค่ะ อยากทราบว่าทำไมแต่ละคนท่าทางที่แสดงออกมานั้น ไม่เหมือนกัน เพราะอะไร แล้วแต่ท่านอาจาอาจารย์จะกรุณาค่ะ  ขอบคุณค่อ

ผู้แสดงความคิดเห็น A17 วันที่ตอบ 2007-04-27 17:27:37


ความคิดเห็นที่ 2 (977354)
avatar
ธนนันท์
ขอความรู้ได้มั๊ยคะ   ตันตระเทวาลัย  อยู่ที่ไหน  ตันตระคืออะไร   คือว่าไม่มีความรู้เลยค่ะ  ไม่ได้ถามแบบกวนกวนนะค่ะ คือว่าอยากทราบจริงๆ ค่ะ
ผู้แสดงความคิดเห็น ธนนันท์ วันที่ตอบ 2007-05-29 12:25:37


ความคิดเห็นที่ 3 (977817)
avatar
หน้าแรก
วิชชาที่เหนือกว่าวิชา

ตันตระ

ตันตระ หมายถึง การเผยแพร่หรือแผ่ออกไป เป็นวิชชา เฉพาะกลุ่ม มีการศึกษาโดยการถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่ง สู่ อีกบุคคลหนึ่ง ในฐานะ ตันเตคุรุ( ผู้ถ่ายทอดความรู้หรือผู้ชี้แนะ ) และ ตันตริก ( ผู้รับการถ่ายทอดความรู้หรือผู้ได้รับการชี้แนะ ) แบ่งออกเป็น 2 แขนงคือ
1. พระเวทย์ หมายถึง การศึกษาภาคปฏิบัติ เช่น การประกอบพิธีกรรม การบวงสรวง สังเวย การรับพลัง การถ่ายเทพระเวทย์ การฝึกจิต การทำสมาธิ การทำคุณไสย รักษาคุณไสย เป็นต้น
2. พระเวช หมายถึง การศึกษาภาคจิตใจ ความเข้าใจในชีวิต การหาคำตอบให้กับชีวิต เช่น ตัวเราเป็นใคร อยู่เพื่ออะไร กำลังทำอะไรอยู่ ต้องการทำอะไร ตายแล้วไปไหน ตายแล้วเป็นอย่างไร อะไรคือทุกข์ วิธีจัดการกับทุกข์ การอยู่กับกรรม การรับกรรม การเลี่ยงกรรม การหนีกรรม การหลบกรรม เป็นต้น

ใครที่ต้องเป็นตันตระ
ตันตระ คือ การหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเรา ศึกษาตันตระเพื่อหลุดพ้น จาก การเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรู้และเข้าใจ เพื่อใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในแบบของตนเอง เพราะแค่เพียงรู้จักชีวิตไม่พอต้องใช้ชีวิตให้เป็นด้วย บางคนรู้แต่ไม่ใช้ บางคนใช้โดยไม่รู้

พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน การเป็นพุทธะคือ การเป็นผู้รู้ การเป็นผู้ตื่น การเป็นผู้เบิกบาน พุทธะแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ
1 สัมมาสัมพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ โดยการตรัสรู้ คือรู้ได้ด้วยตนเอง และ สามารถ นำสิ่งที่ได้ตรัสรู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้
2 อนุตะระพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ โดยการศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางของ สัมมาสัมพุทธะ จนได้รู้แจ้ง แต่ไม่สามารถ นำสิ่งที่ได้รู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้
3 ปัจเจกพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ ด้วยตนเองหรือได้รับการชี้แนะจากบุคคลอื่นจนสามารถรู้แจ้งได้ แต่ไม่สามารถ นำสิ่งที่ได้รู้ นั้น มาวางรากฐานให้ผู้อื่น สามารถ ศึกษาแนวทางและปฏิบัติตามได้

 

ทำไมต้องตันตระ
เมื่อเรารู้สึกว่า ทุกข์ของเราไม่เหมือนคนอื่น ทุกข์ของคนทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีการดับทุกข์ของแต่ละคนจึงไม่มีทางเหมือนกันได้ เมื่อเรารู้สึกว่า เราอยู่คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจเรา ทุกข์ของเราแก้ไม่ได้ ไร้ทางออก อยากหาทางดับทุกข์ของเราเอง เมื่อไม่อยากเวียนว่าย ตายเกิด อีก เมื่อเรารู้สึกว่า ตายไม่ใช่เรื่องสุดท้าย และเกิดไม่ใช่เรื่องแรกในชีวิต เมื่อเรารู้สึกว่า ไม่กลัวที่จะตาย แต่ กลัวที่จะเกิด เมื่อเรารู้สึกว่า เราจะอยู่เพื่อใครอยู่ต่อไปทำไม และทำไมต้องอยู่

ผู้แสดงความคิดเห็น หน้าแรก วันที่ตอบ 2007-05-29 17:42:55


ความคิดเห็นที่ 4 (3335287)
avatar
มนตรา

สนใจเรื่องการทำสมาธิในห้าแบบครับ..ต้องเริ่มหรือแจ้งความจำนงอย่างไรครับ

และสนใจเรื่องประคำมากครับ ผมไปทำสมาธิที่ตันตระก็ไม่กล้าที่จะถามใครๆที่นั่น

 

โปรดชี้แนะขอบพระคุณมากครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น มนตรา (kho-dot-69-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-13 12:39:47



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.