ReadyPlanet.com


ไสย หนทางสู่ความเสื่อม จริงหรือเปล่าครับ
avatar
หนึ่ง


อ่านธรรมะของท่านพุทธทาส หลวงพ่อปัญญาครับ

ท่านบอกของพวกนี้นำทางไปสู่ความเสื่อมครับ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ทำไมยังวนเวียนหลงมัวเมาแต่ของพวกนี้ ดูหมอ หมอดู ล้วนแล้วแต่เหลวไหล โง่

เจริญสติ ศีล ปัญญา คือทางสว่าง มิใช่การขอเทพเจ้า

ขอถามเอาความรู้ครับ

 



ผู้ตั้งกระทู้ หนึ่ง โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-10-29 11:24:19


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1227422)
avatar
asinatantra

ความเห็นที่ 325 (1186915)

เช้านี้นั่งอ่านนิตยสารเล่มหนึ่ง เจอคำสอนทางพุทธศาสนาคำว่า  "ตถตา" แปลว่า  " เช่นนั้นเอง " คือ  ไม่หลงรัก  หลงเกลียด  ไม่หลงยินดี  ไม่หลงยินร้าย  กิเลสก็เกิดไม่ได้

ผมเห็นด้วยนะ  แต่มันไม่ใช่  ปรัชญาตันตระ ไปได้ลึกกว่านั้นอีก

การวาง หรือ ละ ซึ่งกิเลส แล้ว ไม่ใช่หนทางในความสุขที่ถาวรในปัชญาตันตระ ผู้วางแล้วคือผู้สงบแล้ว แต่ความสุข แท้จริงนั้นมิได้มาจากการวางเพียงอย่างเดียว

ผมขอหยิบยกปรัชญาตันตระแค่หนึ่งประโยค คือ " หยิบได้วางได้ค่อยหยิบ วางได้หยิบได้ค่อยวาง " ผู้ละซึ่งกิเลสโดยส่วนมากที่เราเห็นคือผู้ประติบัติ ธรรม ไม่มีที่อยู่ที่สะดวกสะบาย ไม่มีเสื้อผ้าอาภรที่สะดวกสะบายและขาดซึ่งอะไร ต่อมิอะไรที่ให้ความสะดวกสบายซึ่งนำมาถึงความสุขที่แท้จริง เพราะต้องวางต้องตัดกิเลสทิ้ง...แต่ตันตระไม่ใช่แบบนั้น  ความพอดี ของแต่ละคนนั้นต่างกัน นาย ก อาจจะใช้เงินได้เดือนละแสนบาท นั้นคือความพอดีของนาย ก  โดยไม่เดือดร้อนอะไร  นาย ข อาจจะใช้เงินได้เดือนละ เจ็ดพันบาทโดยไม่เดือดร้อนอะไร  หมายถึงนาย ก ต้องละทิ้งความพอดีตนเอง ละ วางเงินทั้งหมด เพื่อให้เกิดสุข หรือ? ไม่ใช่แน่นอนในสายตาตันตระ

เป็นบุคคลที่โลดโผนในวงสังคม หรือ หยุดยืนในค่ำคืนหนึ่งในแสงสี และบาร์เหล้า เป็นผู้หลุดพ้นไม่ได้หรือ  ....หึ หึ ชุดนักบวชมิได้ตัดสินว่าเป็นนักบวช  คุณ ๆ เคยได้ยินคำ ๆ นี้มั้ย

เพราะคำสอนส่วนมากสอนให้ละวาง ซึ่งก็ถูกในขั้นตอนหนึ่ง แต่ผู้ละวางไม่เป้นจะกลายเป็นผิดไปในทันที  ตันตระสอนให้วางเป็นและหยิบเป็นซึ่งลึกกว่าปรัชญาการละวางนัก  เราบอกว่าผู้วางอย่างเดียว โง่ เพราะไร้สุข อาหารดี ๆ เครื่องดื่มดี ๆ ชีวิตดี ๆ กิเลสดี ๆ  มีได้จะละวางทิ้งทำไม

ที่ลึกกว่าในแนวตันตระ คือ หาความพอดีในตนเองให้ได้ และหยิบมันขึ้นมา และ วางมันลงไป เมื่อถึงเวลา หยิบขึ้นมาใหม่ และ วางกลับลงไปใหม่ อีกเมื่อถึงเวลา  นั้นสิ เป็นหนทางแห่งสุข

แต่  พอดี จะหาอย่างไร  ? นั้นแหละศาสตร์ของ ตันตระ เทวาลัย เท่านั้นที่ชี้ถึงมัน



 

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ลงประกาศ 30-09-2007 10:46:36
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ตอบ 2007-10-29 16:37:18


ความคิดเห็นที่ 2 (1227447)
avatar
asinatantra

ความคิดเห็นที่หนึ่ง  นั้นเป็นความคิดเห็นของผมเพียงคนเดียว  ผมไม่ชอบตัดสินวิถี ทุกข์และวิถีสุข  ของใคร หากบุคคลนั้นๆ เลือกกระทั้งแม้จะเดินกลับหัวเอาเท้าชี้ฟ้าแล้วมีความสุขในชีิวต ผมว่ามันก็ไม่ได้เดือนร้อนใคร ๆ ครับนอกจากซะว่าเท้าที่ชี้ฟ้าอยู่มันจะแกว่งไปโดนหัวคนข้าง ๆ หรือเพราะเดินแบบนี้แล้วเจ้านายไล่ออก  ต้องมาขอเงินคนอื่นประทังปากท้อง  อันนี้ก็ผิดความถูกต้องและพอดีของตนเองไปหน่อย...

ทุกอย่าง แม้แต่กิเลส มีได้แน่นอนแต่อะไรคือความพอดี ของบุคคลต่างหากที่ต้องเรียนรู้ ในความคิดผมมิควรตัดสินว่าหนทางใดผิด หรือ หนทางใด ถูก

ทุกอย่าง ถูกโกหกกันมายาวนานจนไม่รู้ว่า อะไร คือสิ่งเริ่มต้นก่อนการโกหกไปแล้ว ชื่อ สกุล นาม ชื่อเสียง และ ต่างๆ นาๆ หากจะถกกันเรื่องว่า สิ่งใดถูกกว่าสิ่งใด  สิ่งใดผิดกว่าสิ่งใด  ณ สถาณะการ์ณ จิต และ ใจ มุนุษย์ปัจจุบัน คงไม่มีใครตัดสินได้หรอกครับ..

มองถึงแก่นใจตนเองว่า ทำอะไรแล้วก็เกิดสุข ถอดหน้า(ตา)ออกเหลือเอาไว้แต่หัวบนบ่า 

ง่าย ๆ แค่ถามตัวคุณเอง " วันนี้คุณมีความสุข แล้วหรือยัง "

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ตอบ 2007-10-29 16:48:26


ความคิดเห็นที่ 3 (1228673)
avatar
หนึ่ง

เทพต่างๆก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิด หรือไม่ก็ไม่หลุดพ้น ยังมีกิเลสอยู่

ตัวท่านเองคงจักไว้ซึ่งเนื้อธรรมหาได้ทวยเทพต่างๆไม่

 

ดูหลายกระทู้ในนี้แล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นไสยก็เลยแค่ออกความเห็นครับ ว่าท่านกำลังทำบาปอยู่ครับ ใช้สติปัญญาให้มาก ของพวกนี้มี หรือไม่มี ก็ไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ครับ ท่านก็ยังคงจะเจอกฏแห่งกรรม (action=reaction) สิ่งที่ท่านทำไสย ต่างๆกับใคร มันจะเป็นบาปติดตัวท่าน ชั่วกัปล์ ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น หนึ่ง วันที่ตอบ 2007-10-30 08:15:44


ความคิดเห็นที่ 4 (1228859)
avatar
asinatantra

ผมก็อ่านเจตนาออกตั้งแต่แรกครับว่าคุณดูถูก เทพอยู่...ฮ่ะๆๆๆ ผมว่าโจ๋ ดีนะ ขนาดผมว่าผมบ้าแล้วนะผมยังไม่กล้าเลย...โจ๋ดีครับ >>>

ศาสนาพุทธก็กล่าวถึงบัวหลายๆ เหล่า ๆ อยู่ ไม่มีใครสามารถทำให้ทุกคนฉลาดในระดับเดียวกันได้หมดครับ ซึ่งมันก็บอกความหมายเป็นนัยอยู่แล้วว่าเข้าใจคนอื่นแต่อยาดูถูกคนอื่นๆ ..คุณไม่รู้จักพวกเราพอที่จะตัดสินหรอกครับว่ามันเป็นไสย ซึ่งเป็นข้อเสียของคนหลาย ๆคน คืออ่านแล้วสรุปก่อนที่จะเข้าใจแก่นซะด้วยซ้ำ   ถึงผมจะถกปรัชญาไป อาจจะไม่เข้าใจซะด้วยซ้ำเพราะที่ผมเขียนก็ปรัชญาล้วน ๆ อะไรคือปรัชญา? มันดูเหมือนการถกเถียง แต่ถกปรัชญา คือการรินน้ำในแก้วออก(คือความรู้เก่าของตน) เผื่อรับฟีงแนวทางอื่น ๆ แล้วประมวลผล ตี ความ เหมือนการกลับด้านหนังสือเรียน เพื่อให้ได้ความรู้ในหลาย ๆ แง่ ...  ที่แจง หมายถึงอย่าดูถูก ทุกข์ ของผู้อื่น .ครับ..

ส่วน ปาบ จะติดตัวผมหรือตันตริกท่านอื่น ๆ หรือไม่ .. ถามแบบปราชญ์ก็ คุณๆ จะเอาอะไรมองและตัดสิน ว่าชีวิตใครมีบาปมากว่าใคร? หากเปรียบคำพูดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งผมก็ยึดถือปฎิบัติมาตลอด ใครที่มีโอกาสได้คุยกับผมก็คงเข้าใจว่า ถ้าสิ่งที่คุณกล่าวหาตันตริกอยู่นั้น ...ถ้ามองชีวิตผม ผมคงถูกตัดสินได้ว่าไม่มีกรรมเลยซะด้วยซ้ำ เพราะผมมีสุข ทุกวัน ..ชีวิตตันตริกเรา เรารู้จักสุขแล้ว และ กำลังยื่นให้คนอื่น...

หากคุณแค่อ่านสาระในหน้ากระดาษไซเบอร์นี้แล้วตัดสินว่า ใครถูกใครผิด ใครไสยมากว่าใคร ใครบาปมากว่าใคร  คุณ ๆ ยังไกลจาการเอาเท้าเดินบนดินมากเลยครับ...

หากใครๆ ที่ชินกับความบ้าของผม ข้อความนี้ของผมอาจจะดุไปนิดหน่อย แต่ด้วยโดยส่วนตัวผมเกลียดนักการที่คน ๆ หนึ่งจะดูถูกทุกข์ของผู้อื่นและคิดว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น   อย่างที่บอกเสมอๆ  หากบัวทุกดอกสามารถงอกขึ้นจากตมโคลนพ้นน้ำ เบ่งบาน สวยงามได้เหมือนกันทุก ๆ ดอกแล้ว โลกมนุษย์ นี้คง มี คนแบบ บิลเกรด หรือ ดาวินชี่ เดินกันทั้งโลกแล้วครับ...

...

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ตอบ 2007-10-30 10:29:24


ความคิดเห็นที่ 5 (1228911)
avatar
ลูกหมาดำตาบอด

กราบขอโทษเจ้านายที่กระผมขอเอาตระก้อออกหน่อยนะคับ ขอถามคุณหนึ่งง่ายนะ ถ้าคุณไม่สนใจในไสย แล้วจะมาเดินเล่นในนี้ทำไม ตัวคุณเองนะรู้จักตัวเองหรือยังเข้าใจตัวเองหรือยัง ถึงได้มาตัดสินคนอื่น แล้วคุณรู้จักเราดีแล้วหรือ

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกหมาดำตาบอด วันที่ตอบ 2007-10-30 10:59:09


ความคิดเห็นที่ 6 (1229215)
avatar
000
คุณยังไม่รู้จักพวกเราเลยแล้วคุณเอาอะไรมาตัดสิน เอาแค่จากการอ่านในกระทู้แค่นั่นเหรอหรือคุณถึง ได้บอกว่าพวกเรากำลังทำบาปกันอยู่แล้วอย่างที่ ลูกหมาดำตาบอดบอกถ้าคุณไม่ในสนใจในเรื่องใสย คุณเข้ามาในนี้ได้อย่างไร
ผู้แสดงความคิดเห็น 000 วันที่ตอบ 2007-10-30 13:25:26


ความคิดเห็นที่ 7 (1229398)
avatar
ผู้ภักดี

ขอโทดนะค่ะตัวดิชั้นเองไม่เคยเข้ามาลงความเหนในเว็บนี้เรยแต่พอเหนกะทู้นี้ ก็อดที่จะออกความเหนม่ะได้เพราะดิชั้นก็เปนอีกคนนึงที่รักแระเคารพในเหล่าทวยเทพทั้งปวง จะบาปหรือไม่บาปทุกอย่างล้วนมีผู้ตัดสินแร้ว ไม่ใช่ให้คนที่คิดว่าตัวเองรุ้แค่บางส่วนมาพูดปาวๆว่ามันบาปพวกเราสนใจเรื่องในชาตินี้ค่ะ สุขก็สุขในชาตินี้ จะทำไปเพื่อหวังผลในชาติหน้า ก็ยังม่ะรุ้เรยว่า จะได้เกิดมาเปนอย่างที่เปนอยู่ทุกวันนี้รึป่าว หากทำแต่ความคิดอย่างที่คุณบอกเกิดชาติหน้ามา กลายเปน สุนัข แร้วความดีที่สั่งสมมาในชาตืที่แร้วจะได้ใช้ยังไงล่ะค่ะ

ทำตัวเองให้ดีก่อน  ก่อนที่จะบอกให้ผู้อื่นทำตาม

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ภักดี วันที่ตอบ 2007-10-30 15:24:14


ความคิดเห็นที่ 8 (1229407)
avatar
ช.ช้าง(อารมณ์ดี)

ธรรมะ ทำมา ธรรมดา ของ สัตว์โลก

ทั้งภัย  โรค แก่ตาย เกิดใหม่  ไม่จบสิ้น

หรือ เพียงเจ้า เป็นผู้รู้ หนึ่งเดียว ในแผ่นดิน

ธรรมนี้  มีราคิน จะจบสิ้น เพราะคนโว

 

อันความรู้  อยู่ทั่วพื้น   พิภพ   นี้

มีทั้งดี   มีทั้งเด่น  มหาศาล

อันความรู้  ที่เจ้ารู้   ดูไม่นาน

อย่าคิดอ่าน  อวดอ้าง   มันเกินตัว

 

กล่าวถึงกรรม  ก่อนเก่า  ใยเจ้ารู้

เจ้าคือผู้   รู้แจ้ง หรือ  ไฉน

ถือกำเนิด  เกิดมา   วรรณะ  ใด

ใย  แอบอ้าง  ว่ารู้   ถึงเท่ากรรม

 

กรรมของใคร  ใครถือ   ติดมือ  มา

กรรมของข้า    ข้ากำไว้   ใยเจ้าเห็น

กรรมของข้า    กำไว้    แสนยากเย็น

กรรมลำเค็ญ   เรื่องของข้า    หรือของใคร

 

อย่าสนใจ   เรื่องคนอื่น   วุ่นวายนัก

ว่างจงพัก   แรงกาย  ใจ   สมอง

เฝ้าสำรวจ   ตรวจตรา   และเมียงมอง

เฝ้าแต่เรื่อง   ของตัวได้   ก็คงดี

ผู้แสดงความคิดเห็น ช.ช้าง(อารมณ์ดี) วันที่ตอบ 2007-10-30 15:27:39


ความคิดเห็นที่ 9 (1230538)
avatar
asinatantra

อ่านแล้วขนลุกน้ำตาคลอ ความรู้เอิบอิ่มและเจียมตัวในความเป็นสัวต์โลก แค่ผงธุลีดินนี้..

ผมกล่าวแล้ว คุณ ๆ ไม่รู้จักพวกเราพอจะตัดสินอะไรเลยซะด้วยซ้ำ..ตรงนี้คงแค่ ท่านใดมีปัญญาพอที่จะศึกษาอ่านเปิดกว้างเข้าใจในสิ่งที่ท่านสอนสั่งด้วยคำกลอนนี้..

ธุลีดิน เอ๋ยยย

 

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ตอบ 2007-10-31 09:43:13


ความคิดเห็นที่ 10 (1230905)
avatar
BlackMangMum

 

Fools arn"t wise enough to see that they are fool. Therefore they think they are wise enough. Yet, they are pround of showing it. There"s nothing wrong with that until they cause trobles to others.

the poem is so deep wise n clear. thank u very much for teaching us.

i can"t say any wiser. just wanted to be a part of my home"s fence. 

my great apologize to master for jamming this topic. 

ผู้แสดงความคิดเห็น BlackMangMum วันที่ตอบ 2007-10-31 13:33:44


ความคิดเห็นที่ 11 (1231056)
avatar
asinatantra

Nice to see you here,,,another black team...

I do like so much and always chat with friends that < fool are not wise enough to see that they are fool >

hahaha  that"s the problem...

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra วันที่ตอบ 2007-10-31 15:39:10


ความคิดเห็นที่ 12 (1231063)
avatar
1

ที่มาที่นี้ไม่ได้เพราะมาจาก link เลยอยากดูว่าเป็นอย่างไร

ผมเองก็ไหว้พระครับ แต่ไม่ชอบพวกไสยหรือมนต์ดำเห็นแล้วรู้สึกไม่ดี

ถ้าทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่สบายใจ ขอให้อโหสิกรรมให้กระผมด้วย และขอโทษด้วยครับ หวังว่าจะได้รักการให้อภัย และจะไม่ขอวิจารณ์ใดๆแล้วครับ ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น 1 วันที่ตอบ 2007-10-31 15:45:35


ความคิดเห็นที่ 13 (1233549)
avatar
ตันตรีก
ช.ช้าง(อารมณ์ดี) นมัส สาธุการ
ผู้แสดงความคิดเห็น ตันตรีก วันที่ตอบ 2007-11-02 00:41:29


ความคิดเห็นที่ 14 (1234627)
avatar
เจ้าบ้าน

อ้างถึงธรรมะของท่านพุทธทาส หลวงพ่อปัญญาที่คุณโพสว่าท่านบอกของพวกนี้นำทางไปสู่ความเสื่อมครับ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ทำไมยังวนเวียนหลงมัวเมาแต่ของพวกนี้ ดูหมอ หมอดู ล้วนแล้วแต่เหลวไหล โง่ อันนี้ขอแจงอย่างนี้ครับ มองดูในฝ่ามือ ของเรา เราเห็นได้เท่าที่เราเห็น   สิ่งที่เราไม่เห็น ใช่ว่ามันไม่มี มองดูรอบตัวเราก็เช่นกัน มองดูบนฟ้าในดินในน้ำ ก็เช่นกัน สิ่งที่สามารถเห็น ได้ ก็ไม่ใช่จะคือสิ่งที่เรารู้และเข้าใจได้ทุกเรื่อง บางเรื่องอาจรู้และเข้าใจแต่บางเรื่องก็อาจไม่รู้และไม่เข้าใจในขณะเดียวกันสิ่งที่เราไม่เห็นก็มิใช่ว่าเราจะไม่เข้าใจทุกเรื่อง เราอาจจะรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่ ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยินก็ได้ ไสย ย่อมอยู่ตรงข้าม กับพุทธะ เป็นเรื่องแน่นอน พุทธะเป็นศาสตร์แห่งการตื่น การรู้ เป็นศาสตร์แห่งเหตุและผล เช่นเมื่อปลูกถั่วต้องได้ถั่ว ปลูกงาต้องได้งา ส่วนไสยะ เป็นศาสตร์แห่งการหลับ ไม่รับรู้ไม่มีเหตุผล ไม่มีคำอธิบาย เน้นและมุ่งอย่างเดียวคือ สำเร็จ โดยไม่มีคำอธิบาย และไร้เหตุผล เช่น ปลูกถั่ว อาจได้งา และปลูกงา อาจไม่ได้อะไรเลยเป็นต้น หรือทั้งที่ไม่ได้ปลูกอะไรกลับได้ทั้งถั่วและงา (ในความจริงจะเป็นอย่างไรใครจะแอบมาปลูกให้ จะนกจะหนูจะเกิดลมฝนพายุหรืออะไรก็ตามไสยศาสตร์ไม่สนใจครับขอเพียงแต่ถ้าอยากได้ถั่วต้องได้ถั่วถ้าอยากได้งาต้องได้งา)การดูหมอ หรือหมอดูก็เช่นกัน โง่งมงายหรือไม่จากประสพการณ์ชีวิตของหลวงพ่อทั้งสอง ท่านก็คงต้องตอบแบบนี้ว่าโง่ครับ เพราะหลักการดูหมอหรือหมอดูทั้วไป ก็คือสนใจแต่ว่าดูให้แม่นให้ถูก แล้วก็เก็บเอาเงิน เอาชื่อเสียงเกียรติยศไป จากนั้นก็ให้คนที่ดูดวงเสร็จแล้วรู้แล้วว่าจะไม่ดีอย่างนี้ไม่ดีอย่างนั้นมุ่งหน้าไปหาพระ ทำบุญแก้ไข ก็คือสรุปง่ายๆว่า หมอดูก็โกยเงินจากคุณแล้วโยนซากที่เหลือให้พระไปจัดการ ก็สมควรครับที่ หลวงพ่อจะบอกว่าคนเหล่านี้โง่ แต่ถ้าดูแล้วรู้และแก้ไขได้ล่ะครับ ถ้าเรารู้ว่า จะต้องมีเหตุเช่นโดนรถชน ระหว่างปล่อยให้มันเกิดยืนเฉยๆรอรถวิ่งมาชน กับเลือก ที่จะเดินเข้าไปชนรถที่จอดอยู่เฉยๆ ล่ะ รู้ต้องรู้เพื่อแก้ไข ไม่ใช่รู้เพื่อไปกอดคอกอดเข่าร้องไห้ และรอให้มันเกิด ครับ

ในข้อที่ว่าการเจริญสติ ศีล ปัญญา คือทางสว่าง มิใช่การขอเทพเจ้า อันนี้ขอแจงอย่างนี้ครับ ชีวิตหากมี สติ ก็เกิด ปัญญา เป็นการพึ่งพาตัวเองที่ดีครับ แต่ถ้า มีทางอื่นที่ดีกว่าล่ะครับ สนใจอยากลองหรือเปล่าครับ การขอเทพเจ้า ขอเฉยๆ คงไม่มีใครให้หรอกครับ อันนี้แน่นอน แต่ถ้ารักศรัทธา บูชาและบวงสรวง ความสำเร็จใดๆก็ย่อมปรากฎครับ การบูชาเทพเห็นผลได้ในชาตินี้ครับ ไม่ต้องรอชาติหน้า หาก ปฏิบัติในการบูชาได้ถุกต้อง แล้ว ชีวิตยังไม่ดีขึ้นผมก็แนะนำทุกท่านที่มาที่ตันตระเทวาลัยเสมอครับว่า ถ้าบูชาเทพอย่างเต็มที่และถุกต้องแล้วยังไม่ดีขึ้น ก็เลิกเลยครับ นอนอยู่บ้านเฉยๆเถอะครับ อย่ามัวทำให้เสียเวลาอีกเลยครับ

ส่วนหัวข้อที่ว่าเทพต่างๆก็ยังคงเวียนว่ายตายเกิด หรือไม่ก็ไม่หลุดพ้น ยังมีกิเลสอยู่ ตัวท่านเองคงจักไว้ซึ่งเนื้อธรรมหาได้ทวยเทพต่างๆไม่ขอตอบว่า ถูกครับใช่ครับ เทพย่อมยังมีกิเลสครับ ไม่หลุดพ้นครับ พวกเราคนที่บูชาเทพก็เช่นกันครับ เรามีแนวทางเช่นเหล่าเทพ ครับ คือ ยังอยากมี อยากได้ อยากเป็น ที่สำคัญ ต้องมีครับ ต้องได้ และต้องเป็นให้ได้ครับ ยังมีความสุข ในความรัก ความโลภ ความอยากมี ยังรู้สึกในความโกรธ และหลง ครับ แต่ อย่างมีสติ นะครับ เราย่อมรู้ว่า เมื่อมีเมื่อได้ครอบครอง ซักวันก็หมดไป ซักวันก็จบ รักแค่ไหนเท่าใด ยังไงก็พรากยังไงก็จาก ไม่จากเป็นก็จากตายครับ เต็มใจที่จะสุขและพร้อมที่จะทุกข์เมื่อถึงเวลาครับ แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะทุกข์เราก็ขอเต็มที่กับมันครับ หากการไม่หลุดพ้น ของเหล่าเทวะที่เรารักนั้นเป็นทุกข์หนักหนา พวกเรายินดีที่จะได้ทุกข์ร่วมกับเหล่าครูบาอาจรย์และเหล่าเทวะที่รักและเมตตาประทานสิ่งที่ดีๆให้กับเราเสมอมาครับ"ยอมที่จะรักเทิดทูนภักดีอย่างโง่งมงาย ดีกว่าตาย โดยไม่เหลือใครในดวงใจ"

ดูหลายกระทู้ในนี้แล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นไสยก็เลยแค่ออกความเห็นครับ ว่าท่านกำลังทำบาปอยู่ครับ ใช้สติปัญญาให้มาก ของพวกนี้มี หรือไม่มี ก็ไม่ทำให้ท่านพ้นทุกข์ครับ ท่านก็ยังคงจะเจอกฏแห่งกรรม (action=reaction) สิ่งที่ท่านทำไสย ต่างๆกับใคร มันจะเป็นบาปติดตัวท่าน ชั่วกัปล์ ครับ

ทุกข์ของคนอาจคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันครับ ความเจ็บปวดในใจของมนุษย์คนหนึ่ง บางครั้งอาจเป็นแค่สิ่งไร้สาระในความคิดของมนุษย์อีกคนหนึ่ง แต่สำหรับตันตระเทวาลัยไม่ใช่แน่นอนครับ เราไม่ดุถูกความทุกข์ของใคร ครับความเจ็บปวดของบางคนอาจแก้ไขได้ด้วยการนั่งเฉยแล้วรอให้วันเวลาลบเลือนไป แต่ความเจ็บปวดในใจของคนบางคนต้องได้รับการระบายและด้วยการขอความยุติธรรมครับ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมครับ ผู้ล่วงรู้ในกรรมย่อมไม่ใช่เราครับแต่เป็นองค์มหาเทพ เราเป็นแค่ข้าบาท แค่ฝุ่นธุลีดิน ครับ มีหน้าที่เพียงการทำพิธีประกอบการบูชาบวงสรวงและแนะนำ คนที่ทุกข์ให้ได้รับการแก้ไข คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม ให้ได้รับความเป็นธรรม คนที่มีกรรม ได้รับการผ่อนผันผ่อนปรนในกรรม เท่านั้น ส่วนจะสำเร็จได้ดังใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรักและศรัทธาของบุคคลนั้นๆต่อองค์มหาเทพ และ ขึ้นอยู่กับพระมหากรุณาและพระมหาบัญชาขององค์มหาเทพครับส่วนการที่เราจะผิด จะถูก จะต้องรับทุกข์ที่ใดนานแค่ไหน เราชาวตันตระไม่กลัวครับ ถ้าหากสิ่งที่เราจะต้องได้รับนั้น เกิดขึ้นเพราะการที่เราได้รับใช้ครูบาอาจารย์และองค์เทวะเพื่อช่วยช่วยเหลือผู้อื่นตามพระมหาบัญชาของท่าน พวกเรายินดีและพร้อมใจครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เจ้าบ้าน วันที่ตอบ 2007-11-02 15:12:53


ความคิดเห็นที่ 15 (1236707)
avatar
ลูกศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาส

เรียนคุณ 1

เจ้าบ้านของตันตระเทวาลัยได้ชี้แจงเกี่ยวกับตันตระให้คุณทราบแล้ว หวังว่าคุณคงพอเข้าใจ หากคุณเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาสจริงแท้ ย่อมทราบว่าท่านอาจารย์ไม่เคยดูถูกศาสนาหรือคำสอนใดๆและท่านยังสอนด้วยซ้ำว่า ดูแต่แง่ดีเถิด คุณมาแสดงความเห็นดูถูกคนอื่นอย่างนี้แน่ใจหรือว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน    

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาส วันที่ตอบ 2007-11-03 21:10:20


ความคิดเห็นที่ 16 (1259513)
avatar
วิน

ส่วนตัวผมเองศรัทธาและเชื่อทั้งพุทธและก็เทพ

พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสธเรื่องเทพ และการลงมาสร้างบารมีของเทพกับมนุษย์ และเทพเองก็ล้วนนับถือในธรรมของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน

จะเห็นก็ต่างกันที่จุดมุ่งหมายและจุดสูงสุดเท่านั้น พระองค์สอนเรื่องการดับทุกข์และไม่เวียนว่ายตายเกิด(โลกุตรธรรม)ส่วนเทพสอนเรื่องการมีชีวิตอย่างมีความสุขและสมหวังจากการขอพรและวิธีต่างๆ(โลกียธรรม)ผมไม่แน่ชัดในเรื่องวิชชาตรันตระเท่าใดนัก แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นสายที่ไม่ดี อย่างน้อยความเห็นของคุณเจ้าบ้านเองก็ทำให้ผมรู้ว่าสายนี้ได้สอนให้คนได้อยู่ในระดับโลกียธรรมได้อย่างถูกต้อง

เพราะทุกอย่างมาแล้วก็ไปเพียงแต่เรามีสติกำกับมันก็จะไม่ทุกข์ เช่นสามี ภรรยา ไม่จากเป็นก็จากตาย

ความเห็นของคุณเจ้าบ้านตรงกับคำสอนของพุทธทาสตามข้างล่างนี้เปะเลยครับ

ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำผิดเรื่องผัสสะ,
ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่เรื่องผัสสะ,
ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วิน วันที่ตอบ 2007-11-15 06:38:18



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.