ReadyPlanet.com


รบกวนด้วยค่ะ
avatar
^t ^


ไปมาแล้วสงสัยค่ะ....

1.ถ้าไม่ทุกข์หนักก็ไม่จำเป็นต้องกราบสัมผัสพระบาทตอนไหว้บูชาองค์เทพ

-- แค่ไหนถึงเรียกว่าทุกข์หนักล่ะคะ ที่มีที่เป็นก็ทุกข์แต่จะเรียกว่าทุกข์หนักรึเปล่าไม่รู้ หรือที่เป็นก็เพียงแค่เรื่องเล็กๆธรรมดาของชีวิตเท่านั้น

2.ใน1วันทำการจะมีการนั่งสมาธิทั้งหมดกี่รอบค่ะทำไมตอนนั่งสมาธิรู้สึกเสียงระฆังดังใกล้ตัวตลอด เสียงยิ่งใกล้แล้วยิ่งบีบหัว ระยะเวลาการนั่งสมาธิในแต่ละรอบไม่เท่ากันหรอคะ บางรอบสั้นบางรอบรู้สึกนาน บางรอบมีการเป่าสังข์บางรอบไม่มี การเป่าสังข์ในรอบแรกทำให้เกือบลืมไปว่ากำลังนั่งสมาธิอยู่ อืม....

3.ผู้ที่ใส่เสื้อดำกับเสื้อขาวต่างกันอย่างไรคะ อาจารย์บางท่านดูเคร่งขรึมจัง ทำให้ไม่ค่อยกล้าถามอะไรแต่รู้สึกดีค่ะอบอุ่นดีตอนที่แต่ละคนยิ้ม มัวแต่สงสัยโน้นนี่จนลืมถามชื่ออาจารย์ที่ดูพื้นดวงให้ตัวเองอีก ลืมไปเลยยย

4.ไปแล้วยังไม่เจอปรัชญาเพี้ยนๆเลยค่ะ ตอนแรกคาดหวังว่าจะเจออะไรให้กลับมาคิดซะอีก ที่เจอก็แต่ความเย็นสบายผ่อนคลายชั่วขณะจิต แล้วปรัชญาเพี้ยนๆอยู่ตรงไหนค่ะ



ผู้ตั้งกระทู้ ^t ^ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-11-29 22:14:17


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1291426)
avatar
asinatantra

ตอบคุ^t^

ข้อ 1 การสัมผัสพระบาท ตอนไหว้ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นทุกข์หนักหรอกครับ สัมผัสและบอกถึง รัก และ ศรัทรา  ขอให้องค์ท่าน ๆ มีความสุขก็มีครับ....

ข้อ 2 การนั่งสมาธิจะมีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะไม่มีผู้ต้องการนั่งแล้วครับ  ระยะเวลา และ ทุกอย่างไม่มีตัวกำหนดครับ  บางรอบสั้นบางรอบยาวขึ้นอยู่กับบทสวด และ อาจารย์ผู้สวดครับว่าสวดช้าหรือเร็ว หรือ เลือกบทสวดไหนสวด  เครื่องประกอบเสียงก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันครับแล้วแต่อาจารย์จะเลือกใช้  มิฉะนั้นก็กลายเป็นกฎระเบียบผูกมัดกันไป ต้องปล่อยวางซะครับ

ข้อ 3 ผู้ที่ใส่เสื้อสีดำ และ สีขาว ไม่ต่างกันครับ เป็นความชอบส่วนตัวของอาจารย์แต่ละท่านครับ  

ข้อ 4 ปรัชญาเพี้ยน ๆ จะเอาไปทำอะไรหละครับ  แต่ถ้ามาบ่อย ๆ รู้จักพวกเรามากขึ้นก็จะรู้ว่าพวกเราเพี้ยน ๆ ครับ เพี้ยนจากมนุษย์ที่เป็นอยู่ เช่นง่าย ๆ แบบที่คุณถาม หรือ หลาย ๆ คนถาม  ผมว่าชุดดำกับขุดขาวต่างกันอย่างไร  ผมก็มักจะตอบไปทางโทรศัพท์ว่า ชุดสีดำเลอะยาก กว่า ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ   คนที่โทรมาถามก็งง กันไป  แต่มันจริงนิครับจะคิดมากไปทำไมกับแค่สี

แต่ดีใจที่มาเยี่ยมเยือนกันครับ....

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-11-30 10:53:00


ความคิดเห็นที่ 2 (1292791)
avatar
^t^

ปล่อย..และ..วาง

ทั้งสุข..และ..ทุกข์

ด้วยการ

สะกดใจ..ให้ใหญ่กว่า..หัวใจ

ขอบพระคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t^ วันที่ตอบ 2007-11-30 22:02:04


ความคิดเห็นที่ 3 (1293987)
avatar
เจ้าบ้าน

ปล่อยและวาง (ในมุมคิดหนึ่งของตันตระ)

ปล่อยและจับ  หยิบและวาง

ปล่อยแล้ว  จับได้  ดังใจนึก

วางลึก หยิบได้  ดัง  ใจหวัง

จับแล้ว  ปล่อยได้ เต็มกำลัง

ทรงพลัง หยิบได้  วางใหม่เอย

 

หากรู้เพียงการวาง มิถ่องแท้

ให้แน่วแน่หยิบได้ด้วยใจหวัง

หยิบได้วางได้ เปี่ยมพลัง

หยิบหรือวาง ยังต่าง ที่สิ่งใด

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เจ้าบ้าน ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-01 12:56:01


ความคิดเห็นที่ 4 (1294683)
avatar
asinatantra
image

โอ้ววววว  อ่านคำแบบนี้แล้วอาการกลาก เกลื้อน แบบกอไฝ่ไฟลุก พลุงพล่านนนนน...น้ำตาจะไหลทุกที ....แ แต่ตอนนี้ มานเปงวันเสาร์ ที่เอากระเป๋าใส่กระปุกเอาไปกินเหล้าาาา อะเอิก เอิก...

ขอกลับมาอ่านใหม่ในวันพรุ่ง และซาบซึ้งกับคำดีๆ กลอนดี ๆ สอนใจอีกที....

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-01 23:00:46


ความคิดเห็นที่ 5 (1294792)
avatar
^t^

ขอบพระคุณ ท่านเจ้าบ้าน ค่ะ ที่ให้ข้อคิดดีๆ

ปล่อยและจับ..หยิบและวาง

อ่านแล้วนึกถึงการเล่นโยโย่กับหมากรุกจัง:)

หลักการง่ายๆแต่ปฏิบัติยากมากกกกกกกก

ฤดูมรสุมได้แต่ปล่อยและวาง ไม่กล้าหยิบและจับอะไรเพิ่ม ไม่อยากแบกอะไรเพิ่ม

จะหยิบจะจับกลายเป็นความผิดพลาดที่ส่งผลต่อคนรอบข้างเสมอ ถ้ามันส่งผลต่อเราคนเดียวจะไม่กลัวอะไรเล้ยยยย

เมื่อครั้งนึงเคยมีคำบัญชาจากหลายกระแสเสียงว่า...

ต่อไปนี้เจ้าจงยืนและเดินด้วยขาของตนเอง จงคิด จงทำ จงเดินต่อไปเพียงลำพัง

อืมม.....เดินเองก็เดินเอง เดินเองก็ได้   ทั้งๆที่ใจตอนนั้นเหลือเล็กนิดเดียว

การเดินทางของคนซุ่มซ่าม....เดินไปก็สะดุดล้มไปตลอดทาง ล้มแล้วลุก..ลุกแล้วล้มอยู่อย่างนั้น จนจะกลายเป็นตุ๊กตาล้มลุกอยู่ในที ซ้ำร้ายที่การเดินทางก็มักหลงทางประจำ  มันน่าเศร้ามากถ้าคุณยังเดินไม่ถึงไหนแล้วต้องนับ1ใหม่เพื่อหาทางออก

การเดินทางยังเดินต่อไป...แต่แล้วก็เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่อีกครั้งคงเหมือนกับโดนฟ้าฝ่าดังเปรี้ยง! ผู้ที่เคยให้คำบัญชาทั้งหลายต่างกลับมาต่อว่าต่อขานซ้ำเติม ผลที่ได้คือ..ความเจ็บปวด.

แต่ยังไงก็ต้องเดินต่อไป เพราะคุณรู้ว่ามีใครอีกคนรอให้คุณช่วยดึงเค้าอยู่ คุณขาดเค้าได้ แต่เค้าจะขาดคุณไม่ได้เลย

แน่นอนว่าปัญหาทุกปัญหามีทางออก...ง่ายที่สุดของกรณีนี้คือการเดินเปลี่ยนทิศจากเหนือสู่ใต้ จากออกสู่ตก  และทิ้งใครคนนั้นไปซะอย่าสนใจอีก

แต่ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ...และคิดเสมอว่าจะไม่ทำ

แต่รู้มั้ย...ใครคนนั้นเค้าเชื่อง่ายกับคำพยากรณ์ เคยมีคนสนิทบอกเค้าไว้ว่า เด็กคนนี้โตขึ้น วันนึงยังไงก็จะทิ้งเค้าไม่เอาเค้าหรอก ...คำพูดเพียงเท่านี้แหระ ที่สร้างความระแวงให้แก่เค้ามาจนวันนี้

คุณจะรู้สึกลึกๆยังไงล่ะ ถ้ารู้ว่าคนที่คุณรักเค้าระแวงคุณตลอดเวลา จะรู้สึกยังไงถ้าจนแล้วจนรอดเค้าก็ยังไม่ไว้ใจคุณซักที

จะหยุดเดินไม่ใช่เพราะเจอปัญหาหนักแค่ไหน แต่จะหยุดเดินเพราะเรื่องเล็กๆแค่นี้แหระ

ศึกนอกศึกใน....ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันไป

สะกดจิตสะกดใจตัวเองให้สู้ให้แกร่ง มันง่ายมากในวันนี้ แต่การสะกดคนข้างตัวนี่สิ แสนยากกจริงๆ

สุดท้ายก็พาไปที่ตันตระด้วยกันซะเลย เผื่อมีใครช่วยพูดให้เค้าปล่อยและจับ หยิบและวางได้บ้าง(อิ อิ)  คงอีกสักพักถึงจะได้ไปอีก ยังไงก็ฝากและรบกวนล่วงหน้าเลยนะคะ

ขอบคุณท่านเจ้าบ้าน คุณอสินนะตันตระและอาจารย์ทุกคนอีกครั้งค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t^ วันที่ตอบ 2007-12-02 00:49:40


ความคิดเห็นที่ 6 (1295092)
avatar
เจ้าบ้าน

ร้อยรักพันรัก ต้องพลัดพราก

แม้นรักมาก พรากพลัด ตัดใจหนอ

ถึงมากรักสารพัดพะเน้าพะนอ

รักเพียงรอพรากพลัด กระจัดกระจาย

 

แม้นยาม  อยู่ยั้ง ยังพลัดพราก

แม้นสิ้นซาก สังขาร รักอยู่ไหน

รัก ต้องจาก แน่แท้ ทุกคนไป

รักเพียงไหน ไม่จากเป็น ย่อมจากตาย

 

เกิดเป็นมนุษย์ ผลที่กล่าวนี้มาจากเหตุจริง ที่พึงปรากฎกับมนุษย์ทุกรูปนาม ครับ 

(อย่าท้อแท้และสิ้นหวัง ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ  สำหรับผู้ศรัทธาในองค์เทพ)

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เจ้าบ้าน ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-02 06:29:41


ความคิดเห็นที่ 7 (1296288)
avatar
^t^

ค่ะ...รักเพียงไหน ไม่จากเป็น ย่อมจากตาย

เมื่อถึงทางตันจะพบแสงสว่างรูเล็กๆส่องเข้ามาให้คลานให้มุดออกมาได้.....แต่ต้องถึงทางตันก่อนนะไม่ตันไม่เจอทางออก55++

อยู่มาได้เพราะข้อคิดดีๆ คิดแง่+ คิดแบบเด็กๆที่ไม่เต็มไปด้วยegoแบบผู้ใหญ่ หรือบางทีก็เป็นคำพูดตลกๆเพี้ยนๆบ้าๆบอๆนี่แหระค่ะ ขำๆแก้เครียดถ้าไม่เก็บไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นต่อ ก็เก็บไปเขียนอะไรต่อไว้อ่านเล่นตอนจิตตก........

ศรัทธากับงมงาย   2คำนี้มันใกล้กันมากนะคะ

จุดสิ้นสุดของความศรัทธาเพื่อไม่ให้ก้าวล้ำไปสู่ความงมงายอยู่ ณ ตรงไหนหนออออ.............

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t^ วันที่ตอบ 2007-12-02 23:13:53


ความคิดเห็นที่ 8 (1297509)
avatar
asinatantra

ศัรทธา และ งมงาย จุดที่ไม่ทำให้ก้าวเข้าไปผิดที่ คือ ถามตนเองว่าดีหรือไม่ต่อตนเองครับ  งมงายคือการมีอารมณ์หลง เข้าไปเกี่ยวข้องหลงต่อตนเองและสิ่งอื่น... แต่บุคคลที่จะชนะความหลงจนมองเห็นมันนั้นมีไม่มาก 

กรรมของใคร ก็กำไว้ในกำมือ... ถ้าเจ้าของกรรมไม่แบมือออก กรรมก็ถูกกำไว้อย่างนั้น  ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่ว่า เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ตั้งครรภ์ หรือ คนชรา ผมเคยแจงว่าทุกข์ใจนั้นมีทั้งทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกาย   ทุกข์ทางใจแบบนามธรรมนั้นไม่มีใครทำให้คุณได้นอกจากคุณเองหรือตัวเราเอง วิธีแก้นั้นง่ายแต่ทำยาก คือ การไม่ใส่ใจ ไม่นำมาเป็นทุกข์ ยังไม่ต้องไปถึงขั้นวางแล้วหยิบใหม่ซะด้วยครับ เพราะมนุษย์วางไม่ลง วางนามธรรมไม่ลง  .. ส่วนทุกข์อันเกิดจากรูปธรรม จำต้องได้ เช่น โดนแทง โดนทำร้ายร่างกาย เกิดมาไม่เหมือนบุคคลอื่น  อั้นนี้สิถือว่าทุกข์เยอะไปอีกขั้น เพราะมีรูปธรรมเป็นตัวแปลให้ใช้ใจ ความคิดอย่างเดียวก็แก้ไม่หมดตลอดเวลา...

ลองคิดดูเอาว่า  ทุกข์ที่เกิด เป็นทุกข์แบบใด ส่วนมากทุกข์ในใจก็จะมากจากการคิด  กลัวว่า คิดว่า น่าจะเป็นแบบนั้น มันคงต้องเป็นแบบนี้ และอีกสาระพัด  มันเกิดจากอะไรซะส่วนมาก ก็เกิดจากการคิดของเรานั้นเอง  ตัวอย่างเช่น มีคนหนึ่งโกธรเรามาก ๆ คำว่าโกธรย่อมไม่มีการกระทำทางร่างกายให้ถึงพิการ บาดเจ็บ ขึ้นใช่หรือไม่  หากไม่นำความโกธรหรือคิดมากของคนอื่นมาใส่ในใจ เราก็จะไม่ทุกข์...แต่นั้นแหละ ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ย่อมบอก จะบ้าเหรอ ไม่คิดได้ไง มันอย่างโน้น และมันอย่างนี้ เหตุผลร้อยแปดที่ยกขึ้นมา ถ้าไม่ทำอย่างนี้คงจะเป็นแบบนั้น  และหรือมากมาย ...มันถึงเป็นที่มาของประโยคว่า  กรรมของใคร ใครก็กำไว้ในมือตนอเอง...การชี้อาจจะอ่านแล้วดูโหดไปหน่อย  แต่ มันเป็นเรื่องจริงครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-03 17:26:15


ความคิดเห็นที่ 9 (1297893)
avatar
^t^

โหดตรงไหนฤา ...

ไม่รบกวนแล้วค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t^ วันที่ตอบ 2007-12-03 21:36:06


ความคิดเห็นที่ 10 (1297900)
avatar
@@@ หนู จะ โต ขึ้น เป็น ตัน ตริก @@@
ส่วนมากทุกข์ในใจก็จะมากจากการคิด กลัวว่า คิดว่า น่าจะเป็นแบบนั้น มันคงต้องเป็นแบบนี้ และอีกสาระพัด -ตอนนี้ก็เป็นอยู่เหมือนกัน..อยู่ดีๆ..ก็คิดโน่นคิดนี่ขึ้นมา พอคนรักเริ่มเปลี่ยนไป..อะไรที่ไม่ทำ..ก็ทำ..ก็คิดขึ้นมาเองแล้ว...ว่าเค้าต้องรักเราน้อยลงแน่ๆ...อีกไม่นานเค้าต้องไปจากเราแน่ๆ... แล้วพอเค้าทำอะไรที่เราไม่ชอบมากขึ้น...เราก็เริ่มพูดถึงเรื่องที่ว่าวันนึงถ้ามันมากกว่านี้เราอาจจะทนไม่ได้... เหตุการณ์ยังไม่เกิดเลย...ทุกข์แล้ว เป็นมนุษย์นี้ทุกข์ทั้งนั้นเลยหนอ... ...หากเพียงแค่ใครสักคน..หรือดาวสักดวง ที่บ่งชี้ว่า...มีเกณฑ์เลิกกัน...เราก็คงบอกว่า "เห็นไหม...ใช่เลย" และก็ยังปล่อยให้มันเป็นไป...และก็ยังปล่อยให้อารมณ์ อยู่เหนือเหตุผล..(และเจ็บปวดในท้ายที่สุด) ต่อให้รู้ว่า...จะเลี่ยงมันได้อย่างไร ก็ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงให้อีกฝ่าย...เป็นคนเปลี่ยนตัวเอง เพื่อไม่ให้มันถึงจุดจบนั้น ฉันเปลี่ยนไม่ได้ เธอก็เปลี่ยนไม่ได้ ทำอย่างไรดี...
ผู้แสดงความคิดเห็น @@@ หนู จะ โต ขึ้น เป็น ตัน ตริก @@@ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-03 21:43:21


ความคิดเห็นที่ 11 (1298703)
avatar
asinatantra
image

ฉันเปลี่ยนไม่ได้ เธอก็เปลี่ยนไม่ได้ ทำอย่างไรดี ... ก็ต้องแบ่งๆ กันทุกข์ต่อไปครับ

เราบังคับคนอื่นเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเราเองได้ คงอยู่แค่จะทำหรือไม่..

ผมมีตัวอย่างหนึ่งนอกจากเรื่องรัก และ เรื่องอ้วนที่เสนอบ่อย ๆ  กรรมของแม่และลูก  แม่หวังดีบังคับลูกเรียนในสิ่งที่ลูกไม่อยากเรียน ทะเลาะกันร้องหมหร้องไห้ ลูกคิดงี้ แม่คิดงั้น เกิดความทุกข์ทุกวันในการอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างไม่เปลี่ยนก็ลังแต่จะทุกข์อยู่วันยันค่ำ ทำไงดี ลูกตัดสินใจทำตามที่แม่ต้องการเรียนในสาขาที่ แม่คิดว่าดีโดยที่ตนเองไม่มีความสุข เรียนหนัก หมั่นเพียร เรียนๆๆๆๆๆ  จนไม่มีภูมิป้องกัน ด้านอื่น ..ตามที่ชีวิตควรมี  เรียนจบมา ได้เริ่มทำงานหนึ่งปี มีความรัก ตั้งท้อง เลยต้องแต่งงานมีครอบครัว ปรากฎว่าเรื่องที่ทะเลาะตบตี ทุกข์ใจมาตลอดเวลากับแม่ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย  สิ่งที่เรียนมาหนักหนา เอาไปทำอะไร นอกจากภรรยาที่บ้าน เลี้ยงลูก ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ ดูแลครอบครัว  สรุปว่าหลายปีที่ แม่และลูก ทะเลาะเบาะแว้ง ผิดใจ น้อยใจ ต่อสู้ หรือ ตามใจอีกฝ่ายกันมา มันจบ ที่หนทางอีกทางหนึ่งซึ่งไม่มีใครเลือกไว้ ....

สิ่งที่มันต้องเป็นไปมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น....

ความพอดี ที่ก่อเกิดสุข คือคำตอบ แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่พยายามจะเห็นมัน มันตัดสินได้ง่าย ๆ ว่าตนเองมีความสุขหรือไม่  ถ้าไม่ก็เปลี่ยนซะ  ... ผมชอบคำคุรุสอนหนึ่งประโยค  " ใช้สมองคิดไม่เสียตังค์ " สมองของเราไม่ต้องเช่า ไม่ต้องซื้อ ซึ่งก็เหมือนกับร่างกายเราหัวใจเรา วิธีคิดเรา  ไม่ต้องหาซื้อ ไม่ต้องเช่ามาจากไหน ของเราล้วน ๆ ตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง  .... การประเมิณผล หาสิ่งที่ตอบความถูกต้องของตนเอง ย่อมทำให้เห็นหนทางความสุขที่ถาวรได้

เฮ้อออ...ผมก็บ่นไปได้เรื่อยๆๆๆๆๆ เนอะ

ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-04 10:17:37


ความคิดเห็นที่ 12 (1301103)
avatar
^t ^

เฮ้อออ....ว่าจะไม่เขียนอะไร เพราะต้องเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้

แต่จนแล้วจนรอดก็นะ

ถ้าคนนึงเปลี่ยน....แต่อีกคนไม่เปลี่ยน ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดีมั้งค่ะ สิ่งที่มันต้องเป็นไปมันก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แก้ไรคงยาก ยื่งดิ้นรนอยากแก้คงยิ่งเหนื่อยใจ....โทษคนอื่นไปก็เท่านั้น..เฝ้าโทษตัวเองยิ่งแย่ใหญ่....อยู่นิ่งๆยอมรับกรรมไปเรื่อยๆดีกว่า....ถึงเวลาก็ชดใช้หมดเอง....ถึงเวลาก็เจอเรื่องดีๆสิ่งดีๆเองล่ะมั้ง

จริงๆแล้วนอกจากทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่ควรจะปลูกฝังสอนกันตั้งแต่เด็กๆ เค้าก็น่าจะบรรจุหลักสูตรทฤษฎีรักพอเพียงลงไปด้วยแหะ โตมาจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องรักล้านแปดพันประการเข้ามากวนจิตกวนใจ(ไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบใดก็ตาม....)

คิดไปคิดมามันก็ดี...โดนอะไรร้ายๆแย่ๆซะตั้งแต่วันนี้แก่ไปจะได้สบาย เรื่องที่คิดว่าหนักเรื่องที่คิดว่าแย่พอถึงตอนนั้นภูมิต้านทานเยอะขึ้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องนิดเดียวในบัดดล

สุขในทุกข์...ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่รู้ว่าสุขเป็นยังไง ถ้าไม่ทุกข์ก็ไม่อ่อนแอ ถ้าไม่อ่อนแอก็แข็งแรงไม่เป็น

สมองคนน่าเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์....มีปุ่มdeleteในตัวไม่ต้องการเก็บอะไรไว้ก็ลบทิ้งได้ทันที โดนไวรัสก็ใช้โปรแกรมฆ่าทิ้ง ยังมีแอบแฝงเกเรไม่เลิกก็formatล้างเครื่องซะเลยยังงั๊ยยังงัยก็ใช้การได้เหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.......ต่างกับคน ยังงั๊ยยังงัยก็ลบทิ้งทั้งหมดไม่ได้ ได้แค่เลือน ไอ้ที่ว่าลืมไปแล้ว เศษเสี้ยวหนึ่งของมันก็หลบตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกอยู่ดี..ยังงั๊ยยังงัยก็พร้อมจะถูกสะกิดได้ตลอดเวลา

เฮ้อออ....ก็บ่นไปได้เรื่อยๆๆๆๆๆเหมือนกัน เพ้อเจ้อไปไกล เลยไม่รู้เอากี่เรื่องมารวมกัน ^_^"

เศร้าก็ไม่ดี...เสียใจก็ไม่ได้...ร้องไห้ฟูมฟายคุณน้ำตาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ยย....บ่นมากก็ไม่ควรอีก...คิดมากก็ปวดหัว....หนีไปนอนเตรียมตัวเตรียมใจดีกว่า

สุขสันต์วันพ่อค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t ^ วันที่ตอบ 2007-12-05 20:48:06


ความคิดเห็นที่ 13 (1310232)
avatar
เจ้าบ้าน

ได้รับเมล์ของคุณแล้วครับ ถามมายาวมาก เอางี้ดีกว่า เข้ามาถามเองดีกว่าครับ จะได้ตอบข้อสงสัยกันให้ชัดๆนะครับ ถ้าเข้ามาที่ตันตระเทวาลัยวันไหน ก็บอกอาจารย์ตู่ นะครับ บอกว่า มีนัดกับเจ้าบ้าน แล้ว ทางอีเมล์

หวังว่าคงได้เจอกันเร็วๆนี้นะครับ สวัสดี

ผู้แสดงความคิดเห็น เจ้าบ้าน ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2007-12-11 07:15:08


ความคิดเห็นที่ 14 (1382027)
avatar
^t ^

เจ้าบ้านยังไม่ลบกระทู้นี้ตามคำขอ งั้นนู๋ขอสิงสถิตในกระทู้นี้เลยได้มั้ยคะ

ตอนนี้รู้สึกคิดถึงอาจารย์ตู่ที่สุดเลยยยยยย....

อาจารย์.....ทำไมมันวนแบบนี้คะ บางอย่างวนอยู่ บางอย่างก็รู้ว่ากำลังจะวน ทั้งกลัวทั้งกดดัน

อาจารย์เลอบอกว่า...เตะไปมันก็กลับมา...แล้วควรทำยังไงล่ะคะ ในเมื่อหยุดเตะหยุดเดินไม่ได้ ถอยไม่ได้ เพราะหน้าที่ความรับผิดชอบรอเราอยู่

รู้ว่าปัญหาคืออะไร รู้ว่าต้องเริ่มแก้จากไหน  รู้ว่าต้องทำอะไร รู้ว่าเร่งไม่ได้ รู้ว่าต้องปล่อยไปตามเวลา รู้ว่าทุกปัญหามีทางออก รู้ว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน...

มองปัญหาเหล่านี้ในแง่มุมดีๆก้อมองได้ แต่เพราะดันเข้ามากระทบตลอดเวลาแบบนี้ บ่อยครั้งเข้ามันก้ไม่ไหวจริงๆ....สุดท้ายแล้วจะผ่านไปได้เหรอคะ จะสู้ไหวเหรอคะ ในเมื่อขายังก้าวไปข้างหน้า แต่ใจเริ่มถอยหลังแล้ว

ไปตันตระไม่ได้หวังให้ใครมาช่วยเหลืออะไร แค่ไปแล้วสบายใจไม่โดนหลอกด้วยอุบาย แค่ใครก็ได้ฝึกตาณคิดใหม่ที แค่มีอะไรให้กลับมาคิดให้หายเศร้าแค่นี้ก็พอจริงๆค่ะ

ส่วนเรื่องแม่..ขอบพระคุณอาจารย์หมี ที่เป็นที่รับฟังที่ปรึกษาให้แม่ไปเต็มๆ...ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรบ้าง รู้แต่ตัวเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของเค้าได้ เพราะความเป็นเด็กในสายตา แต่พวกอาจารย์ทำได้! จะหาเรื่องให้แม่ไปคุยกับอาจารย์หมีบ่อยๆดีมั้ยคะ ลูกสาวจะได้ชะแว๊บบบออกไปคุยกับอาจารย์ด้านนอกบ่อยๆเช่นกัน

คิดถึงอาจารย์ตู่.. 

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t ^ วันที่ตอบ 2008-01-10 00:22:13


ความคิดเห็นที่ 15 (1415906)
avatar
^t ^

เดือนนี้คงไม่ได้ไปทั้งเดือน...ม้าหมุนเริ่มหมุนแรง

แม่บ่นอยากไปตันตระ

ลูกสาวคิดถึงอาจารย์ตู่จัง.....

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t ^ วันที่ตอบ 2008-01-21 00:31:08


ความคิดเห็นที่ 16 (1428606)
avatar
^t ^
image

ได้เปิดดูกระทู้ของคุณคนรับผลส้มที่หน้าแรก

ได้อ่านความคิดเห็นของคุณคนสร้างบ้าน

ได้นั่งหัวเราะก๊ากกกกอยู่หน้าคอม

ได้เห็นข้อความของคุณอสินะตันตระในความเห็นต่อมา

ได้นั่งหัวเราะก๊ากกกกกกกกกดังกว่าเดิมอีกหลายเท่า...

ตกลงอาจารย์เป็นเทพบุตร ใจดี พูดเพราะจริงๆเหรอคะ55++

เฮ้ออออออ....ทฤษฎีเหรียญ2ด้าน ยังคงใช้ได้เสมอกับทุกเรื่องทุกราว ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสมบูรณ์แบบดูดีไปซะทุกเรื่อง ...เพราะในความดีย่อมมีความไม่ดี..และในความไม่ดีก็ย่อมมีความดีเช่นกัน

ตัวฉันมี..3..คน

คนที่ฉันอยากเป็น

คนที่คนอื่นมองว่าฉันเป็น

และคนที่ฉันเป็นจิงๆ

..คนไหนที่เป็นฉัน..

ใครอยากเป็นเทพบุตรก็เป็นไป...ใครอยากเป็นนางฟ้าก็เป็นไป เพราะนั่นไม่ใช่เรา .....เลือกได้จริงนู๋ขอเป็นแม่มดดีกว่า^-^

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t ^ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2008-01-25 00:22:15


ความคิดเห็นที่ 17 (1476071)
avatar
^t ^

มีอยู่วันนึง..log in เข้าสู่ระบบ พอเปิดหน้ากระทู้พบว่าหน้าแรกของกระทู้ไม่เหมือนปกติที่เคยเห็นเพราะมันถูกรันจากกระทู้ที่อัพเดทล่าสุดไล่ไปเรื่อยๆ ...อย่างงี้แปลว่า ถ้าหนูจะถามอะไรต่อที่กระทู้นี้เจ้าบ้านและอาจารย์ๆๆยังเห็นกันอยู่ใช่มั้ยคะ

คือว่า..ระหว่างที่ยังไม่ได้ไปที่ตันตระเทวาลัยในช่วงนี้ ดันเกิดอยากจะฝึกเรื่องของพลังจิตใต้สำนึกอย่างจริงจัง แต่เกิดความสงสัยว่า จริงๆแล้วดวงจิต..กับ..จิตใต้สำนึก คือสิ่งเดียวกันรึเปล่าคะ***(นู๋คิดว่าใช่แต่ไม่แน่ใจ)

ถ้าคิดอย่างเชื่อมั่น..อะไรก็เกิดขึ้นได้

ถ้าเราฝึกคิดป้อนข้อมูลใหม่สู่จิตใต้สำนึกด้วยความเชื่อมั่น...ว่าสิ่งที่เราต้องการมันต้องเป็นไปได้ สร้างพิมพ์เขียวให้เค้าใหม่ ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นได้ใช่มั้ยคะ

จิตใต้สำนึก..เป็นอิสระจากจิตสำนึกมากที่สุดในตอนที่เราหลับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในขณะหลับ การฝันส่วนหนึ่งจึงเกิดจากการที่จิตใต้สำนึกกำลังทำงาน บ่อยครั้งที่พบว่าจิตใต้สำนึกได้ออกไปเที่ยวสนุกบ่อยๆ ไปในที่ที่ไม่เคยได้ไป ที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่สนุกและมีความสุขดี(อันนี้นู๋เข้าใจว่าทำไมถึงฝันแบบนี้ อิ อิ)  .....แต่บ่อยครั้งพบว่าชอบฝันเห็นลิฟท์ ถ้าไม่ขึ้นลิฟท์แล้วลิฟท์ค้าง ..ก็หล่นว่วบ..หรือไม่ก็เหนคนตายในลิฟท์ (อันนี้สิที่ไม่เข้าใจว่าคุณจิตใต้สำนึกเค้าไปเจอะเจออะไรมาเหมือนกันค่ะ วิเคราะห์ความฝันแบบนี้ไม่ออก รู้แต่พอบอกแม่ทีไรก็ห่วงไปโน้นนนเลย)

ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ...ก่อนจะหลับ และหลังจากตื่นขึ้นมาแบบงัวเงีย คือภาวะที่ควรสะกดจิตใต้สำนึกของตัวเองที่สุด เพราะถูกขัดขวางจากจิตสำนึกน้อยที่สุดใช่มั้ยคะ...พอคิดแบบนี้แล้วทำให้นึกถึงการนั่งสมาธิที่เทวาลัย ที่มักมีคำเตือนว่า เป็นการนั่งเฉพาะที่นั่นอย่าเอาไปนั่งที่บ้าน.....

***ถ้านั่งที่บ้านอะไรจะเกิดขึ้นหรอคะ...จุดที่อาจารย์ห้าม คือห้ามนั่งแล้วปล่อยสมองคิดไปเรื่อยๆรึเปล่า?..รึว่าห้ามตรงจุดไหนเอ่ย?? ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ..นะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ^t ^ ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2008-02-03 10:44:31



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.