gallery | ข่าวสาร | เทวรูป พระมหาคเณชะ ปางต่างๆ | บาสัค | ดวงตราประมุข | ประคำเทพนพเคราะห์ |
สาระพันทุกข์ สุข ของอสินะตันตระ | |
asinatantra | เนื่องจากกระทู้สาระพันทุกข์สุข เดิมถึงวาระที่ต้องจากไป . . จึงได้โอกาสตั้งกระทู้บ่นใหม่ คราวนี้ใส่ชื่อตัวเองไว้เลย จะได้ไม่ต้องละอายใจที่รู้สึกว่า มีทุกข์สุข อยู่กะเค้าคนเดียว หุ หุ ใครที่แวะมาอ่านก้อเตรียมใจ ถัดจากนี้ไป ผมก้อจะบ่นของผมไปเรื่อย ^_^ - - eternity complain > > > |
ผู้ตั้งกระทู้ asinatantra :: วันที่ลงประกาศ 2006-05-30 09:49:21 |
<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 ถัดไป >> |
ความคิดเห็นที่ 601 (2913272) | |
ธีรนายะตันตระ | "ความสุข...มันคือความรู้สึกที่เหมือนระเบิดออกมา "ความสุข...มันเป็นความรู้สึกเหมือนตอนมีแฟนคนแรก "ความสุข...อืม...เปรียบเทียบยังไงดีนะ" "ไม่สุข...ไม่ทุกข์ นี่เรียกว่าความสุขได้มั้ย" "เฉยๆ ยังไม่ใช่ความสุขหรอก...แต่อย่างน้อยก็กำไรแล้วที่ไม่ทุกข์" "ถ้าคนสมัยก่อน...รู้ว่า ในสมัยนี้ จากสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนกันในห้องเรียนความสุข การบ้าน คือ เอากลับมาคิดต่อ... บางที ความสุข มันอาจจะเหมือนเค้ก มันคงเหมือนขาดอะไรไป...เลยกลายเป็นความรู้สึกคล้ายๆ ท่านสอนว่า ตันตระ...แปลว่า แผ่ออกไป ....เค้าร้องไห้.... หากคำสอนของท่าน เปรียบเหมือนชาที่ชงครั้งแรก "หาความสุขของตนเองให้เจอ" ดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอีกอะไรๆ อีกเยอะ เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนปัจจัยที่ทำให้ทุกข์
แม้กระทั่งตัวเรา ยังควบคุมไม่ได้เลย แต่คิดไปคิดมา...ดูมันไปอีกสักพักดีกว่า... คงยังไม่ได้กลับบ้านไวๆ นี้หรอก
พรุ่งนี้วันศุกร์...กำลังจะครบรอบ 2 สัปดาห์ จากห้องเรียนความสุข อย่างนี้เรียกว่า ยังสอบตกอยู่ใช่มั้ยคะ สุดท้าย |
ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรนายะตันตระ (oat_tvdr-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-09-25 18:26:44 |
ความคิดเห็นที่ 602 (2913575) | |
munung | ชีวิตคู่...ที่ท่านสอนว่า "คนที่ใช่...คือคนที่เรายอมทุกข์เพื่อเค้าได้" ..แม้สิ่งที่ทำอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ใจไปบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับมาคือ ความสุขใจ....ที่เห็นคนที่เรารักมีความสุข.... อย่างนี้ที่เขาเรียกว่า ร่วมทุกข์ร่วมสุขใช่ไหมคะ... นู๋อยากเข้าห้องเรียนด้วยจังเลยจ้า...แต่ไม่เป็นไรค่ะเอาไว้รอประกาศคราวหน้า... จะรีบติดตามข่าวจะได้ไม่ตกข่าวอีก... เพียงได้มีโอกาสรับรู้ถึงบทเรียนที่สอน ที่เพื่อนๆเอามาเล่าให้ฟังในนี้ก็มีความสุขเหมือนกันค่ะ ความสุขอยู่ที่ใด....สิ่งที่แท้จริงสุขนั้นอยู่ที่ไหน........ ไม่ว่าจะสุขแบบใด...สิ่งที่เสพแล้วมีสุขนั้นต่างกัน....อยู่ในความต้องการ....ที่ต่างกัน
.ใช่ไหมเจ้าคะ มู๋นึ่งขอแอบมาตอบด้วยคนค่ะ... |
ผู้แสดงความคิดเห็น munung (mootoo_buf-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-09-26 11:37:23 |
ความคิดเห็นที่ 603 (2913945) | |
asinatantra | พักนี้มีคนบอกคิดถึงบ่อย ๆ ..หากมองว่าผลลัพท์พิสูจน์เรื่องราว ก็คงจะมีสิ่งที่มองได้ชัดเจนจากการคิดถึง ที่บอกมาคือ ...ผมหายไป อ่านที่เจ้าเด็กลิง(ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นลิงแล้ว) เขียนก็ขนลุกนะ ที่ขนลุกคือทำให้นึกถึงวันที่ผมยังเด็ก วันที่น้ำตานองกับประโยคที่ คุรุท่าน และ 4 Kings สอน ประโยคแห่งความเป็นจริงที่เสียดแทงเหมือนเข็มนับร้อยนับพันให้เจ็บจนวินาทีที่น้ำตาหลังรินออกมา เลยทำให้จำความรู้สึกของน้ำตาและความรู้สึกแบบนี้ได้.. ตอบสิ่งทีี่ลิง! ถาม.. การมีความรู้สึก รัก โลภ โกธร หลง เป็นเรื่องปกติ มีได้ แต่มีแล้วทำความเข้าใจและวางซะ อย่าถือเอาไว้ถึงจะถูกวิถี อย่างไรเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องทุกข์ใจ ......... คนที่ใช่ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรักหรือที่เรียกว่าแฟนเสมอหรอก คำว่า รัก นั้นสามารถก้าวข้ามความรักแบบแฟนไปได้ หากเจอคนที่ใช่สำหรับเราแม้จะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน หรืออะไรก็ตามแต่ แน่นอนเราจะยอมถ้อยตนเองและอาจจะยอมทุกข์เพื่อคน ๆนั้นหรือสิ่ง ๆ นั้นได้ เพราะมันตอบความรู้สึกในส่วนลึกของเราได้ มันเป็นความสุขที่มาจากความถูกต้อง แต่จุดยากที่ต้องหาคือ ใช่หรือไม่ ทุกข์ใจแบบโง่ ๆ อยู่หรือทุกข์ใจแบมันมีเหตุผลอยู่ ซึ่งทำให้อย่างไรก็ต้องกลับมาที่ประโยคเริ่มต้นที่ตันตริกต้องรู้และถามตนเองให้บ่อย คือ เอ่งเป็นใครและทำอะไรอยู่ คำถามว่าความสุขอยู่ที่ใด คำตอบคือ อยู่กับท่านที่ปราศจากทุกข์อย่างแท้จริงแล้ว ..ท่านผู้เดียวผู้นั้น แต่สิ่งที่เรามีคืออะไรถ้ามันไม่ใช่เรียกว่า สุข มันเป็นแค่ความสุขสมที่มากจากหลายๆ สิ่ง สุขสมหวัง สุขดีใจ สุขสนุก สุขปลื้มใจ และอื่น ๆ อีกหลายหัวข้อที่มารวมด้วย ความสุขจริงๆ แท้เราไม่สามารถมีได้เพราะมนุษย์ยังทุกข์ใจอยู่มิอาจเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นความสุดยอดของความรู้สึกนั้นว่า ความสุข คงพอจะได้ท่านผู้เป็นเจ้าของคงมิว่าอะไร มู๋นึ้งถามว่า ความต้องการที่ต่างกันย่อมนำมาซึ่งสุขที่ต่างกัน ตอบว่าใช่และความต้องการที่ต่างกันก็ทำให้ตามมาด้วยทุกข์ที่ต่างกันด้วย
|
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-09-27 10:24:38 |
ความคิดเห็นที่ 604 (2913980) | |
munung | "ความต้องการที่ต่างกันย่อมนำมาซึ่งสุขที่ต่างกัน ตอบว่าใช่และความต้องการที่ต่างกันก็ทำให้ตามมาด้วยทุกข์ที่ต่างกันด้วย" อย่างนี้นี่เองคนเราถึงต้องการหาหนทางที่จะหนีจากความทุกข์ ทั้งที่ทุกข์นั้นก็คือความต้องการนั้นเอง...แหะแหะ ขอบคุณมากค่ะท่าน asinatantra มู๋นึ่งได้สิ่งที่ต้องเตือนตัวเอง.... "ตันตริกต้องรู้และถามตนเองให้บ่อย คือ เอ่งเป็นใครและทำอะไรอยู่"
|
ผู้แสดงความคิดเห็น munung (mootoo_buf-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-09-27 11:32:38 |
ความคิดเห็นที่ 605 (2915480) | |
asinatantra | เมื่อวานบ่าย ขณะที่กำลังนั่งนินทาอาจารย์อยู่กับวศินะตันระอย่างเมามันส์ก็เห็นอยู่ตั้งแต่ไกลแล้วละว่ามีเด็กหน้าตาคุ้นๆ หัวเหลม ๆ นั่งอยู่ฝั่งกระโน้น แต่ด้วยกำลังสนุกกับการนินทาผู้อื่นอยู่ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมากกว่าการเห็น... ซักพัก... เด็กหัวเหลมตั้งๆ แลดูคล้ายลิง! ก็วิ่ง ตับ ตับ ตับ มาตามทางเดินระเบียง แล้วกระโดดลงมายืนตรงหน้าผมกับวศินระพี แล้วก็ยิ้มฟันขาวอยู่หลายวินาที ผมกับวศินระพีก็หันไปมองพฤติกรรมแล้วถามว่า "มีอะไรเหรอ" เด็กหัวตั้งบอกป่าวคะมาสวัสดี มาอยู่ใกล้ ๆ 55555 ผมกับวศินระพีคิดแบบเดียวกันเลยคือ ดูจากท่าวิ่งมาหาผมก็นึกว่าจะวิ่งมากระโดดเตะเสยผมหงายหลังตกบ่อปลาไปด้วยคงจะอะไรมาซักอย่าง ...ผม กะ วศินระพี ก็หัวเราะกับความกระโป้งกระเป้ง ของเจ้าเด็กหัวตั้งจริง ๆ เสร็จจากสวัสดีแล้วเจ้าเด็กหัวเหลมตั้งๆ ก็กระโดด ตับ ๆ ๆๆ (เหมือนเดิม)กลับไปตามทางที่มา 555555 ผมว่าดูอย่างไรมันก็ ลิง...เหมือนเดิม |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-09-30 12:52:19 |
ความคิดเห็นที่ 606 (2918207) | |
asinatantra | เมื่อวานนี้วันเสาร์ วันที่ผมชอบวันหนึ่งเหตุเพราะอะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ก็เป็นวันที่ชอบและมักจะเป็นวันที่ได้ใช้ชีวิตคนเดียวหนึ่งวันต่อสัปดาห์ แถมด้วยอาทิตย์นี้อยู่บ้านคนเดียวกับหมูอีกสองทำให้ได้ตกตระกอนความเป็นตนเองได้ดี ผมชอบหาเวลาอยู่คนเดียวกับความเป็นตนเองบ่อยๆ ตามวาระโอกาสพึ่งจะทำได้ ด้วยชีวิตทุก ๆ วันต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งนำมาหลายร้อยพันเรื่องราวที่ต้องขบคิด การอยู่กับตัวเองแบบไม่มีใครเอี่ยวคราวนี้ เริ่มด้วยเช้าวันเสาร์ที่ต้องทำกิจกรรมกับสมุนเหมือนเดิม เก็บอึสมุนที่สนาม เช็ดตัว และให้ของกิน อิ่มหนำสำราญไปแล้วผมก็ขึ้นมาบนห้องนอน นั่งอ่านหนังสือกับกาแฟร้อนหนึ่งแก้ว จนเกือบห้าโมงเช้าก็ลุกไปอาบน้ำ ขับรถไปสำรวจของกินลงท้อง ซึ่งระยะนี้ผมไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกหน้าปากซอย 11 อยู่บ่อย ๆ เพราะเหตุว่าก๋วยเตี๋ยวเป็ด(ท่าน) ไม่ค่อยขายและคุณป้าก๋วยจั๊บก็ขายอาหารเจอยู่ช่วงนี้ ก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยกับร้านเยิ่น ๆ มันได้รสชาติจริง ๆ นะ ก๋วยเตี๋ยวรสชาติดีมักจะอยู่กับร้านแบบนี้ ผมสั่งเส้นหมี่น้ำตกหมูกับเกาเหลาน้ำตกหมู ซึ่งทำให้คุณพี่คนขายถามว่าเกาเหลาจะเอาใส่ถุงเหรอ ผมบอกป่าวครับกินที่นี่ครับ และก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยสองชามก็มาให้ผมโซ้ยจนหมด จนคุณพี่คนขายถามว่า กินเก่งนะเห็นตัวแค่นี่ ...แหะ แหะ ...อายจัง ผมก็เลยตอบไปว่า หิวอะครับ อ้ายเรื่องอาหารเส้นนิ ถึงไหนถึงกัน เสร็จแล้วจากเติมพลังก็แวะร้านหนังสือ ซื้อหนังสือได้มาสามเล่มเพื่อเติมสต๊อกหน่อย และก็แวะ 7 เว้นอีเลฟเว้นซื้อของกินเผื่อสมุนสำหรับอาทิตย์หน้า ฝนก็ตกพร่ำ ๆ ตลอดให้เปียกชื้นได้ดีจริง ๆ เสร็จแล้ผมก็ขับรถต่อไปที่ตลาดการบินไทย รถติดมากหาที่จอดรถที่ประจำไม่ได้เลยเพราะรถล้นออกมาข้างนอกเชียว จำใจต้องไปจอดที่ไกลหน่อยแล้วเดินเอา แต่โชคดีนิดที่ตอนจอดรถเสร็จฝนก็หายตกแล้วทำให้พอจะเดินระยะไกลได้โดยไม่ทรมานจนเกินไป เดินผ่านต้นสร้อยระย้าต้นใหญ่ต้นเดิมของบ้านใครก็ไม่รู้ผมทักทายเค้าเสร็จก็มุ่งหน้าเดินสู่ตลาดการบินไทย อืมมม..คนเยอะพอควร อากาศไม่ร้อนมากแต่ก็หยุดกินน้ำแข็งใส ใส่เฉาก๊วย วุ้น ลูกชิด หนึ่งถ้วยอร่อยมากซึ่งพอขนมหมดถ้วย ตอนนี้รู้สึกอึดอัดมากจากการกินเข้าไปเยอะเกินไป..อ๋อยยย สมน้ำหน้าตัวเอง ตะกละดีนัก!! ที่ตลาด วันนี้โชคดีเดินเจอกาแฟที่หาอยู่ด้วยว่าป้าชิกแอนด์เดลเอามาให้ชิมที่เทวาลัยจนเสียนิสัยพอหมดก็หาซื้อไม่ได้ แต่ก็ลืมนึกไปว่าที่ตลาดนี้มีร้านขายของนำเข้ามิกแอนด์แมชอยู่ มีสาระพัดอย่างจนในที่สุดอาการอยากกาแฟยี่ห้อนี้จะได้หายซักทีเพราะซื้อมาสามห่อเลยให้คาแฟอีนเข้าเลือดให้มันซะจายกันไป... หลังจากนั้นก็เดินไปร้านขายหนังได้หนังดีตามเป้าหมายมาหลายเรื่อง ออกจากตลาดการบินไทยก็แวะไปร้านซักแห้งรับผ้าปูที่นอนที่เอาไปซักแล้วก็กลับบ้าน จอดรดเสร็จเจอหมูนั่งรออยู่จูจุ๊บกันเสร็จก็แบกของกับหนังสือขึ้นห้อง ทุกอย่างหนักมากกกกกกกกกกกกจนรู้สึกหมดแรง ต้องเดินขึ้นเดินลงสี่ชั้น สามรอบถึงจะแบกของที่ตนเองลากกลับมาด้วยหมด ...เฮ้อ บ้าหอบฝางจริงๆ บ่ายแก่ ๆ อาบน้ำปะแป้งแล้วก็มาเปิดหนัง บอร์น ภาคสองที่ดูจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว แต่ก็ เออ สนุกดีแฮะ ดูกี่ทีก็อารมณ์ดีทุกครั้ง พอดูหนังจบฟ้าก็มืดพอดีเลยเริ่มหิวใหม่วันนี้คงต้องกินที่บ้านเพราะพรุ่งนี้มีเลือกตั้งผู้ว่า แน่นอนว่าร้านรวงห้ามขายเครื่องดื่มซึ่งผมก็คิดว่าหาอะไรอ้วนๆ แบ่งกันกินกับหมูอยู่กับบ้านจะดีกว่าเลยคว้าโทรศัพท์กด ตู๊ด ตู๊ด ตุด ตุด สั่งพิชซ่ามากิน ถือหนังสือกระดึบลงบันได้มานั่งรอการันตีฟรีสามสิบนาทีซึ่งก็ไม่เป็นผล พิชซ่ามาก่อนเวลาการันตีืก็จ่ายตังค์ไปซะ ทีนี้ก็นั่งโซ้ยหน้าพิชซ่าที่ลอกออกมาจากแป้ง เพราะกินแป้งด้วยคงอ้วนตายกันไปเลย เพียรกินหน้าพิชซ่าไปสองชิ้นกับไวน์แดงหนึ่งแก้ว โอโห ทั้งอิ่มทั้งมึนหัว ..คิดอยู่ว่าอะไรฟ่ะเดี๋ยวนี้กินไวน์หนึ่งแก้วปวดหัวได้ยังกับกินไปหนึ่งขวด โถถังในความแก่ของตนเองแจงๆ หลังจากนั้นก็แบ่งพิชซ่าให้หมูไปสองชิ้น เก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้สองชิ้น ออกไปเอากล่องพิชซ่าทิ้งถังขยะหน้าประตูก็ได้ยินเสียงเพลงจากเทวาลัยดังมาเคล้าอากาศชื้นๆ ของฝน ...อะ เดินไปเทวาลัยดีก่า เลยใส่เสื้อใส่กางเกงเดินถือแผ่นหนังที่ได้มาวันนี้ไปให้เจ้าบ้านด้วยพอดี ... มายืนเล่น นั่งเล่นอยู่เทวาลับแปล๊บนึง เจอลิงกับปิติยะตันตระ มารอุ่น หมูนึ่ง มังคลาตันตระ และ เจ้ากล้วยและอีกสาระพัด เหมือนเดิม..สักสี่ทุ่มกว่าๆ ก็กลับมาดูหนังอีกครึ่งเรื่องแล้วก็นอน.. วันนี้ตื่นมาแดดออกให้หายชื้นไปได้บ้าง กิจกรรมยามเช้าที่เหมือนเมื่อวาน และตอนนี้ก็เริ่มหิวแล้ว คิดว่าไปอาบน้ำดีกว่า เพราะจะแวะไปเลือกตั้งผู้ว่าซักหน่อย แล้วหาก๋วนเตี๋ยวกินใหม่ ซึ่งวันนี้มีเรื่องต้องเข้าเมืองก็จะถือโอกาสกินก๋วนเตี๋ยวหรูละกันนะวันนี้ ไปหละ เริ่มหิวแล้ววววว |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-10-05 10:33:44 |
ความคิดเห็นที่ 607 (2920386) | |
asinatantra | เมื่อเช้า ..ดูรายการทีวีรายการหนึ่ง เค้าเล่าถึงเรื่องบนหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอุบัติเหตุบนถนนที่รถบรรทุกขนกับรถบัส มีผู้เสียชีวิตมากมาย แต่หนุึ่งในผู้รอดชีวิตคือ แม่ลูกอ่อนคู่หนึ่ง ผู้เป็นแม่บาดเจ็บสาหัสมากมีเลือกออกในช่องท้องจำนวนมากหน้าตาบวมนอนไม่ได้สติลืมตาไม่ได้ขยับร่างกายไม่ได้ ลูกน้อยบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยด้วยเพราะผู้เป็นแม่อุ้มเอาไว้แล้วเอาตัวเองบังลูกน้อยเอาไว้ .. ผู้ดำเนินรายการเล่าว่า ขณะที่ผู้เป็นแม่นอนไม่ได้สติอยู่กับสายต่อชีวิตระโยงระยาง ลูกน้อยก็ร้องไห้ขึ้นมาไม่หยุด นักข่าวและพยาบาลที่รุมล้อมอยู่ขณะนั้นทำอย่างไรก็ทำให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้ไม่ได้ และขณะนั้นเองที่เด็กน้อยแบเบาะร้องไห้อย่างดังตลอเวลา ผู้เป็นแม่ซึ่งนอนโคม่าไร้สติอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างปาฎิหารย์และพยายามสื่อสารอะไรสักอย่างอย่างยากลำบากกับคนรอบข้าง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพยายามทำความเข้าใจอยู่นานและก็ทำสำเร็จ พยาบาลนำร่างเด็กน้อยไปวางที่ตรงนมของผู้เป็นแม่และเด็กน้อยก็หยุดร้องไห้และดูดนมแม่อย่างหิวโหย ในภาพที่ผมเห็นจากทีวีสภาพของผู้เป็นแม่ดูแย่มากๆ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมดและไร้ซึ่งสติ หน้าตาปูดโปน อนุภาพของคำว่ารักของแม่ที่มีต่อลูกทำให้ผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นจากอาการโคม่าเพื่อสื่อสารคนรอบข้างให้เอานมให้ลูกกินทั้งที่ตัวเองขยับอวัยะอะไรไม่ได้เลย และโอกาสรอดของแม่ก็น้อยมาก และน้ำนมครั้งนี้ก็อาจจะเป็นครั้งสุดท้่ายในชีวิตของผู้เป็นแม่ ก็ได้.. ผู้ดำเนินรายการต้องการสื่อสารว่า อยากให้ลูกทุกคนรักและระลึกถึงความรักที่ แม่ทุกคนมีต่อลูก ก่อนที่จะเสียโอกาสนั้นไป ภาพที่ผมเห็น ทำให้ผมนึกถึง บทเรียนบทเรียนหนึ่งที่คุรุสอนผมมาแต่เด็กว่า อย่าให้ต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงตลอดเวลา เรื่องหลาย ๆ เรื่องที่เคยพลาดและผ่านได้มาแล้วก็ขอให้ครั้งต่อไปสามารถเรียนรู้ตั้งแต่จุดเริ่มจนจุดจบในสมองเราก็พอ ซึ่งหมายถึง บทเรียนในชีวิตบางเรื่องมันแสนสาหัสมากจนสามารถเก็บเกี่ยวขั้นตอนเรื่องราวเอาไว้ในหัวตนเองได้ หากมันเริ่มเกิดเรื่องอันคล้ายคลึงกับปัญหาที่เคยผ่านมาอีกก็อย่าต้องถึงขนาดเริ่มบทเรียนแสนสาหัสตั้งแต่ต้นจนจบอีกครา เราควรเรียนรู้แบบปัญญาชนได้ ผมยกตัวอย่างเห็นชัด ๆ เช่น การเล่นพนัน เล่นพนันอย่างไรก็มีแต่ข้อเสียผลเสียของมันอาจจะต้องทำให้หมดเนื้อหมดตัวและเดือดร้อนทุกข์ใจแสนสาหัส หากชีวิตมีโอกาสรอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายมาได้และตั้งตัวได้อีกครั้ง และวันหนึ่งชีวิตหมุนเวียนมาจนเจอสถาณการณ์เอื้ออำนวยให้เล่นพนันอีกครั้ง จะกระทำผิดแบบเดิมอีกไหม? ที่คุรุสอนหมายถึง เอาเรื่องเดิมบทเรียนเดิมออกมาจากความจำ หมุนวนในหัวตั้งแต่ตนจนจบเผื่อจะได้จำได้และทำความเข้าใจกับผลเสียและความเดือดร้อนและความทุกข์ใจของมัน และหยุดการกระทำนั้นซะตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เหตุเพราะว่าในชีวิตมนุษย์ชีวิตหนึ่งจะมีโอกาสดีซักกี่ครั้งที่จะมีทางรอดไปได้ จริง ๆ แล้วเรื่องการเรียนรู้นี่ในความทรงจำ มันสามารถเอาไปปรับใช้ได้กับหลายเรื่องมาก กินมากอย่างไรก็อ้วน ใช้เงินมากเกินไปก็ลำบากแน่นอน ทุกข์เพราะรัก ประมาทเวลาขับรถ หรือเมามายจนไร้สติ โมโหมากเกินไป และ/หรือ อีกหลายเรื่องมากมาย ที่เราไม่จำเป็นต้องทำผิดซ้ำเพื่อเรียนรู้ก็ได้
|
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-10-09 10:45:29 |
ความคิดเห็นที่ 608 (2921964) | |
ธีรนายะตันตระ | ท่านอสินะตันตระคะ ชัตเตอร์...(กดติดสหาย) ที่มา..เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นู๋นั่งสมาธิ1-100 อยู่ที่ห้องนอน(ที่บ้าน) แล้วนู๋หนึ่งก็รู้สึกอะไรด้วย คว้ากล้องดิจิตอล มาชัตเตอร์(เผื่อติดอะไร) ถ่ายหลายรูป แต่มีรูปนี้ที่เราเห็นอะไรแปลกๆ |
ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรนายะตันตระ (oat_tvdr-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-10-13 09:44:32 |
ความคิดเห็นที่ 609 (2921966) | |
ธีรนายะตันตระ | เมื่อวานได้โอกาส อจ.รุ่นใหญ่ รวมตัวกันอยู่ในบรรยากาศชิวๆ ZooM-ZooM จนเห็นชัดๆ อจ.หลายๆ ท่าน ก็ บรื๋อ~~ ท่านเจ้าบ้านก็ ^______^ มาจนถึงท่านวศินะตันระ ส่วน อจล. ท่านก็หัวเราะ...บอกว่า "รุ่นพี่เรา โดยถ่ายรูปไว้ได้แร้วววววววว 5555" แหะๆ นู๋ก็เลย เอามา ZooM-ZooM ให้ท่านอสินะตันตระดูนี่แหละค่า... |
ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรนายะตันตระ (oat_tvdr-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-10-13 09:47:25 |
ความคิดเห็นที่ 610 (2922156) | |
asinatantra | .o ในชีวิตประจำวัน ที่ไม่เห็นยังมีอีกเยอะ.. |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-10-13 14:39:21 |
ความคิดเห็นที่ 611 (2933536) | |
asinatantra | ดูจากวันที่ ที่เขียนกระทู้ครั้งสุดท้ายจนถึงวันนี้ก็ไม่ห่างจากเดือนซักเท่าไหร่ ..หายไปนาน ความคิดผมห่างหายไปนาน จริงๆ นึกกับตัวเองว่าเพราะอะไรนะ ยุ่งมากไปหรือเปล่า หรือเพราะว่าเน็ทที่บ้านเสียไปสองสามสับปดาห์ หรือเพราะอาการป่วย หรือ โน้น หรือ นั้น ? พอมาคิดจริงๆ กับคำตอบที่อยู่ในใจแบบไม่โกหกตนเองก็มีแต่ว่า ผมวางซะมากเกินไป วางที่จะเขียน การมองโลกที่เห็นจุดเริ่มต้นและจุดเป็นไป และเกือบจะจุดจบ ก็เห็นว่ามันแทบจะไม่มีอะไรควบคุมได้ซักเท่าไหร่ ผมเคยเอบคิดว่า บทความบ่นเล็ก ๆ ของผมอาจจะช่วยฉุดกระชากลากถูคนหลายคนให้เกิดอาการตื่นจากทุกข์ซ้ำซากได้ แต่ในความเป็นจริงข้อความยืดยาวจนหกร้อยกว่าบ่นที่เขียนมา มันทำได้แบบฉาบฉวยแค่นั้นเอง พอถึงเวลามนุษย์ก็เลือกจะนำทุกข์มาใส่ตนเองด้วยตนเองอยู่ดี มันเลยเป็นที่มาว่าไม่มีอะไรจะเขียน หลายปีมานี่ ผมเขียนถึงคำสอนเบื้องลึกให้อ่านแบบที่ไม่มีใครกล้าแหกกฏอธิบาย เพราะด้วยหวังอยากให้เห็นว่า ทุกข์ ของมนุษย์นั้นอยู่ตรงไหนและทางแก้คืออะไร แต่มันทำประโยชน์ได้จริงๆ นะเหรอ??? หรือมันเป็นแค่การอ่านเพื่อสนุกไป สามอาทิตย์ที่ผมหายไปจากการเขียน ผมก็ง้วน ๆ อยู่กับชีวิตประจำวันนี่แหละ แค่กำหนดให้ตนเองช้าลงหน่อยก็จะทำให้เวลามันผ่านไปเร็วขึ้น เพราะทำอะไรไม่ค่อยจะทันนัก นั้นแหละวิธีหนึ่งของการกำหนดเวลาของตนเอง นอกนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของบุคคลต่างๆ ทุกข์ของบุคคลต่างๆ ทั้งที่เคยสอนไปและบุคคลแปลกหน้า ทำให้ตนเองยิ่งวิมุติหนักขึ้นไปอีก ตามเจ้าบ้านว่า " เรียนมาก็เยอะ สวดมาก็เยอะ หากแต่เมื่อถึงคราวตนเองนั้น จะแก้ทุกข์ตนเองได้หรือไม่ " แล้วก็มักจะมาจบที่การถอนหายใจและเกาหัวอีกนิดหน่อยและตามด้วยคำพูดติดปากตัวเองเมื่อหาคำตอบให้กับสิ่งต่างๆ ของมนุษย์ไม่ได้ก็คือ " เวรกรรม " สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองทำให้นึกถึงเวลาเรียนหนังสือกับคุรุ สมัยเด็กท่านๆ จะเริ่มการสอนด้วยประโยคคำถามว่า " ใครมีอะไรถาม " ซึ่งพอทุกคนเงียบไม่ถาม คุรุท่านก็เลิกชั้นเรียน ซึ่งตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ชอบใจว่าทำไมเลิกเร็วอยากเรียนอย่างอื่นอีก แต่พอแก่ขึ้นก็เข้าใจว่าท่านได้สอนไปหมดแล้วแต่เราย่อยไม่เข้าหัวเลยไม่มีคำถาม เมื่อไม่มีคำถามก็ไม่มีอะไรสอนเพิ่มเพราะแสดงว่าไม่เข้าใจ เพราะในชีวิตประจำวันบทเรียนที่ทำให้ทุกข์ใจเยอะแยะ เพราะผลลัพท์คือมันยังทุกข์อยู่ พอมาถึงเวลาของตนเองเวลากลับย้อนไปอ่านสิ่งที่ตนเองเขียนมาหลายปี ก็เจอว่านี่ตูเขียนไปมากมายแล้วนินะ มันมีอะไรจะเขียนมากกว่านี้อีกเหรอ???? 555555 เริ่มบทมาก็บ่นซะยาว เหยียดดดด
|
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-08 10:02:47 |
ความคิดเห็นที่ 612 (2934032) | |
asinatantra | วันนี้ทั้งเดินทั้งยืนตั้งแต่หกโมงเช้าจนหกโมงเย็น จนเท้างอกเพิ่มมาจนเป็นกิ้งกือแล้ว ฮือออออ เมื่อยจังเฟ้ยยยยย |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-09 19:14:17 |
ความคิดเห็นที่ 613 (2934035) | |
มิ๋ง_มิ๋ง | โอ้ว คาราวะ ท่านอสินะตันตระ ด้วยความนับถือ ท่านไปนวดที่บ้านสุคนธราสิ ฮ่าๆ จะได้หายเมื่อย |
ผู้แสดงความคิดเห็น มิ๋ง_มิ๋ง (cartoonphee-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-09 19:37:37 |
ความคิดเห็นที่ 614 (2936820) | |
asinatantra | พรหมลิขิต กับ กรรมลิขิต อาทิตย์นี้ตัวเองได้ทำความรู้จักกับสองสิ่งได้ดีขึ้น โดยนั่งมองศึกษาจากพฤติกรรมตนเองและคนรอบข้าง เหตุก็มาจากเจ้าบ้านบอกผมว่า " เรา(ผม) นะ ชอบเอาความจริงมาพูดเล่น " หมายถึงว่าผมชอบพูดความจริงมากเกินไปใครฟังก็ไม่ถูกใจ ไม่อยากฟัง ผมก็ขำกับข้อเท็จจริงนี้ว่ามันจริง ..ผมก็ได้แต่ตอบว่าเพราะผมจริงใจ ผมพูดก็ต้องพูดเรื่องจริงสิครับ การให้ยาชากับชีวิตมันเหมือนไม่รักกันจริงถึงแม้ว่าจะทำให้ผู้รับรู้สึกดีกว่าก็เถอะ ก็เลยมาถึงคำว่า พรหมลิขิต และ กรรมลิขิต ผมเห็นและได้ยินความทุกข์ใจของคนใกล้ตัวที่ผมช่วยเหลืออะไรไม่ได้นักก็เลยเอามาเป็นเคสศึกษาให้เจ้าบ้านสอน พรหมลิขิตคือสิ่งที่เราท่านเกิดมาพร้อมกับมันซึ่งจะกำหนดวิถีชีวิตเราไว้ในนั้นแล้ว แต่แก้ไขได้ไม่ยากนัก กรรมลิขิตคือสิ่งที่เราเป็นเราเป็นผลจากการกระทำของเราเองต่อตนเองและสิ่งรอบข้าง แก้ไขยากมาก ผมเห็นคนหลายคนที่ทุกข์ใจเพราะตนเองกระทำเอง ทั้งที่รู้และไม่รู้ หลายๆ คนรู้ว่าทำแบบนี้คิดแบบนี้แล้วจะทุกข์แต่ก็หยุดตนเองให้ทำหรือคิดไม่ได้ ....มันเป็นเรื่องเศร้าใจที่ยากลำบากจริง ๆ ผมเองก็เคยมีกรรมลิขิตแบบนี้ มิใช่เกิดมาวางเป็นเลยแต่หากท่าน ๆ คุรุเมตตาชี้ให้เห็น เขี้ยวเข็ญมาด้วยคำสอนที่น้ำตาผมแทบจะรินไหลออกมาเป็นเลือด แต่ท่าน ๆ ก็เมตตาชี้ให้ผมเห็นคำว่าความจริงเสมอ แม้มันจะเจ็บปวดมากมายเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อผมหยุดคิดและเปิดกว้างกับสิ่งที่ท่าน ๆ สอน ก็จะเห็นประโยคจริงแท้อย่างหนึ่งว่า ....ผมทำไปทำไม รู้ว่าจะทุกข์แล้วยังทำอีกทำไม .... ผมเชื่อว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ทุกคนพบเจอ หรือ ประสบอยู่ หากหยุดคิดตรองสักหน่อยว่า เรารู้ใช่ไหมว่าทำแล้วจะทุกข์คิดแบบนี้แล้วจะทุกข์ ทำไมเราไม่หยุดทำหรือหยุดคิดเรื่องนั้น ๆ หละ เพราะถึงแม้คุณทุกข์ใจเพียงใด ทรมานเพียงใดเราท่านก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอยู่ดี ใยเราท่านต้องเลือกมีชีวิตอยู่กับความรู้สึก ทุกข์ ด้วยเล่า!!! ความจริง คือ ประตูให้เราเข้าใจวิถีของตัวเองอธิบายได้และเลือกหยิบเลือกวางได้ รู้ว่ากินมากไปก็จะอึดอัด รู้ว่ารักมากไปก็จะทุกข์ รู้ว่าเล่นกับไฟก็ต้องบาดเจ็บซักวัน รู้ว่าพูดจาไม่ดีคนทั่วไปก็ไม่รัก รู้ว่านอนน้อยแล้วจะง่วงในวันรุ่งขึ้น รู้ว่าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินกินข้าว รู้ว่าหลับตาเดินข้ามถนนก็ต้องโดนรถชน รู้ว่าแตะสุนัขก็ต้องโดนมันกัด รู้ว่าไม่หายใจเข้าไปก็ต้องตาย รู้ว่ากินเข้าไปอย่างไรก็ต้องถ่ายออกมาในห้องน้ำ รู้ว่าอิ่มมากตอนนี้แต่เดี๋ยวก็จะหิวอีก รู้ว่าใช้เงินมากไปก็จะจน รู้ว่าเป็นหนี้แล้วก็ต้องชดใช้ เป็นต้น...เราท่านรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี แต่หนทางที่ตัวเราเลือกให้ตัวเราเองหละ คืออะไร ??? กรรมลิขิต ผู้เห็นแล้ว ก็เพียงทำได้แค่ชี้ให้ผู้ไม่เห็นได้เห็น แต่ผู้ที่จะเลือกกรรมลิขิตให้ตัวเองขั้นตอนสุดท้ายนี้ก็คือตัวเองนั้นเอง กรรมลิขิต |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-15 10:58:43 |
ความคิดเห็นที่ 615 (2937306) | |
asinatantra | สมุนกัส.. เดี๋ยวนี้ตอนเช้า ๆ ผมกับปุ๊กปิ่นมีเรื่องสนุก ๆ ใหม่ให้เล่นกันคือจะบอกสมุนกัสว่า " ทำหน้าเ.๊ค สิ" และผมกับปุ๊กปิ่นก็หัวเราะกันกลิ้งไปเพราะสมุนกัสจะทำหน้าเหมือนเ.๊คแด๊ะๆ เอียงคอนิด ตาไม่เท่ากันหน่อย....ผมบอกปุ๊กปิ่นไปว่าไม่รู้ใครเหมือนใครเนอะ แต่ปกติสมุนก็ต้องเหมือนคนเลี้ยงสิ จริงไม๊ครับ? พูดมาถึงตรงนี้ก็เลยนึกถึงตัวเองกับสมุนหมูกับสมุนเบบี๋ ว่าอย่างนั้นสมุนอ้วนที่นอนเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อึ ตด เลอ น้ำลายยืด กรน ก็ต้องเหมือนผมนะสิ เพราะมีผมอยู่คนเดียวที่เลี้ยง????? นึกถึงตรงนี้ได้ ก็เงียบดีก่า ... จริงมั้ยครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-16 17:00:16 |
ความคิดเห็นที่ 616 (2937533) | |
asinatantra | น้ำไม่ไหลแต่ไฟไม่ดับ ตั้งแต่เช้าที่เสียง sms ปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยประโยคว่า " เช้านี้น้ำไม่ไหล " อะ! แย่ละสิ คิดไว้แล้วเชียว เพราะเมื่อคืนน้ำไหลแปลก ๆ แต่ด้วยขี้เกียจปีนหลังคาเลยปล่อยไปจนมาเป็นกรรมของเช้าวันจันทร์ที่ผมต้องใช้อารมณ์หนุนนำในการกลับมาสู่โลกความเป็นจริงเป็นอย่างมาก เฮ้ออออ หลังจากปีนหลังคาขึ้นไปตรวจดูแทงค์น้ำและปั๊มน้ำ ทั้งเคาะทั้งถีบไปหลายขบวนท่า ไม่ได้ผลเหมือนเดิม เลยตัดใจ เอาฟ่ะ น้ำไม่มีมีไฟก็ยังดี เดินลงมาดูสมุนทั้งสองก็จริงดังคาด สมุนฉี่แย่งที่กันอีกแล้ว กรรมของเวรของวันไม่มีน้ำแจง ๆ แต่ก็ยังดีว่าก๊อกน้ำกลางสนามหญ้ายังใช้การได้ด้วยเป็นปั๊มน้ำคนละตัวกัน ก็รอดไปได้จัดการกับฉี่คุณท่านสมุนทั้งสอง เช็ดตัวปะแป้ง ถูพื้นให้ท่าน ๆ สบายเสร็จด้วยน้ำจากกลางสนามหญ้า สบายตัวท่านๆ ไป .. ทีนี้ก็มาถึงผม อืมม ฤ จะอาบน้ำกลางสนามหญ้าให้สาวเล็กสาวใหญ่ สยิวกิ้วกันไป ดี หรือ ไม่อาบมันเลยดีนะ .... ฮะ ฮะ คุณว่าผมอาบน้ำมาทำงานวันนี้หรือไม่ ลองเฉียดมาใกล้และทายดูจากกลิ่นดีมะ ฮะ ฮะ ฮะ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-17 10:27:32 |
ความคิดเห็นที่ 617 (2938106) | |
มิ๋ง_มิ๋ง | ขออภัยขอรับ กระผมสำนึกผิดแร้วคับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น มิ๋ง_มิ๋ง (cartoonphee-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-18 10:28:48 |
ความคิดเห็นที่ 618 (2938715) | |
asinatantra | เออ...คุณมิ่ง มิ่่ง ขออภัยผมหรือป่าวนั้น ทำอะไรผิดมาหละ ?? มันเรื่องอะไรกันเหรอครับ? |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-19 10:16:42 |
ความคิดเห็นที่ 619 (2940032) | |
Blue Label | เฮ้ออออ ท่านอสินะมักจะถูกรายล้อมไปด้วยรัศมีบางอย่างที่หนูไม่กล้าเข้าไปคุย T^T ได้แต่สวัสดีแล้วยิ้มหวานให้ท่าน แง้งงงงง ไว้วันหลังจะรวบรวมความกล้าแล้วหาจังหวะเข้าไปถามความรู้บ้างน่ะเจ้าค่ะ หนูก้ออยากมีขนมที่แสนอร่อยแถมดูน่ากินไว้กลับบ้านเหมือนกันน้าาาาาา |
ผู้แสดงความคิดเห็น Blue Label วันที่ตอบ 2008-11-21 11:03:48 |
ความคิดเห็นที่ 620 (2940214) | |
asinatantra | อ้าววว..นี่ผมดูดุเหรอครับ อืมมม หลาย ๆ คนก็บอกนะครับ ความจริงแล้วผมไม่ดุเลยนะครับผมแค่โหด เองนะ .. ดุ กับ โหด ไม่เหมือนกันนะครับ .. ฮ่ะ ฮ่ะ พูดให้คิดกันไปใหญ่ แค่คงอยู่ที่ว่าหลาย ๆคนอาจจะฟังเรื่องผมมาจากแกงค์พิตบูลประจำเทวาลัยกันก็จะพาลนึกว่าผมดุกันไปซะ ผมยังไม่เคยดุเลยนะครับออกจะหล่อและใจดีขนาดดดดดด เนอะ!!! |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-21 16:35:19 |
ความคิดเห็นที่ 621 (2940849) | |
asinatantra | สุขที่ได้ทุกข์ ประโยค ๆ นี้ผมได้รับมาจากเจ้าของชีวิตผม เป็นประโยคต้องห้ามที่ไม่ถูกทางนักแต่ท่านให้มา ผมได้ฟังประโยคนี้มานานหลายปีนักแล้ว ทุกข์เป็นสิ่งไม่นิยมในความเป็นตันตระ แต่คำว่าสุขที่ได้ทุกข์มันช่างเพี้ยนเสียนิกระไร ..แต่ณ จุดหนึ่งมันถูกต้องจริง ๆ ในการดิ่งลงไปในอปิตะที่หนึ่งนั้น จะเจอประโยคนี้อยู่ที่ก้นบึ้งของทุกข์ บางครั้งในชีวิตผมก็นำประโยคสั้น ๆ ที่ท่านประทานมา เอามาปรับใช้เหมือนกัน เสริมกับประโยคที่คุรุธัญญะสอนมาว่า " ไม่มีใครทำมนุษย์ทุกข์ใจหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น " หากมองและเปิดใจรับ จริง ๆ แล้วบวกสังเกตุเข้าไปอีกหน่อย เราคิดให้มันทุกข์ไปเองทั้งนั้น ทุกข์เพราะคิด ลองนึกดูสิว่าถ้าแฟนเรามีคนอื่นจะถามว่าปัญหามันอยู่ตรงนั้น ใช่ปัญหามันมีจริง ๆ ถ้าเผิอญว่ามีลูกกันหรือร่วมกันสร้างอะไรไว้ด้วยกัน ถึงเวลาแยกกันก็ต้องมาแบ่งกันอันนี้คือปัญหา แต่ส่วนมากสิ่งที่ได้ยินไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้ แต่จะเป็นความทรมานจากความทุกข์เพราะคิด ตอนแรกที่ฟังประโยคข้างบนที่คุรุธัญญะสอน เมื่อหลายเดือนก่อนผมอึ้งไปหลายนาทีเลย ขณะที่อึ้งก็คิดในสมองอันน้อยนิดว่า เออ จริงด้วยนะ เราคิดนี่เอง....หากมนุษย์หยุดคิดก็จะหยุดทุกข์ลงไปได้..มันเป็นประโยคคำสอนชี้ทางสว่างแก่ผมจริง ๆ การตัดน้ำเงิน แดง ออกจากร่างกายที่เป็นขาว ดำ ช่างเป็นหนทางที่ใช่จริงๆ บางทีตัวผมเองเกิดหงุดหงิดหรือทุกข์ใจกับอะไรขึ้นมา ผมก็จะเตือนตัวเองว่า หยุดคิดซะ ตรองและตามด้วยทำความเข้าใจและจัดการแก้ปัญหาและตามด้วยวางลงซะ จบขั้นตอน แต่ หากทุกข์ใดที่แหมมม มันจี๊ดอยู่ในใจแบบไม่ยอมเลิกลาง่าย ๆ ผมก็แอบควักกระเป๋าเอาประโยคต้องห้ามที่ท่านประทานให้ออกมาใช้ว่า " สุขที่ได้ทุกข์ "
|
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-23 09:51:11 |
ความคิดเห็นที่ 622 (2940891) | |
ม.อ.น้อย | การที่ได้ รับทราบว่าคุรุท่านสอนอะไร ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเดินดิน บางครั้งการที่ท่านสอนมันดูเหมือนมันง่าย เพียงแค่เรามองให้เป็นอย่างที่ท่านบอก ทำไมตอนมีทุกข์มันเหมือนคนตาบอด มองอะไรไม่เห็น ขอบคุณท่าน อสินะตันตระที่นำความรู้มาทำให้ ใครหลายคนนำไปปรับใช้ได้บ้าง ถึงแม้จะเริ่มหัดคิด หัดทำ ก็นับว่าไปเริ่มทำตามคำสอน ของคุรุท่าน คิดถึง คุรุ จังเลยค่ะ พูดคำนี้ทีไรน้ำตาจะไหล
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ม.อ.น้อย (tonpoja-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-23 12:47:16 |
ความคิดเห็นที่ 623 (2941344) | |
asinatantra | ใช่เวลาทุกข์มันจะมืดบอด ตามองไม่เห็น..คุรุท่านรู้ตอนจบแล้ว เมื่อรู้ว่าจบอย่างไรก็ทำได้แต่ชี้ให้เห็นทางเดินและจุดจบของทุกข์นั้น ๆ แต่เราหมู่มนุษย์ย่อมไม่เข้าใจ และจะไม่มีวันก้าวถึงหากไม่เทน้ำออกจากแก้วเพื่อรับฟังหนทาง มนุษย์เราก็จะมุ่งหน้าทุกข์ๆๆๆๆ ต่อไป ผมเองเรียนมารู้มานิดหน่อยก็เอามาแผ่อีกที ผมรู้ว่าทุกข์มันจบอย่างไร มันเหมือน A B C D ที่เป็นขั้นตอนแต่ผมก็ทำได้แค่ชี้ให้เห็น ส่วนใครจะทำได้เท่าไหร่ หยิบไปใช้ได้เท่าไหร่นั้นผู้เป็นเจ้าของทุกข์ต้องเพียรเอาเอง เวลาเกิดทุกข์ไม่ว่าระดับไหน สาหัสมากน้อยเท่าใด ขอให้ต้องนึกถึงคำสอนทั้งหมด ตั้งสติ แล้วสติจะนำมาซึ่งสมาธิและปัญญา ปัญญาเพื่อให้รู้ว่าทุกข์จากอะไร เพราะอะไร และทางแก้อยู่ตรงไหน..ขั้นตอนทั้งหมดนี่กระทำได้ขณะทุกข์ ทุกข์ไปคิดไปด้วยตั้งมั่นเชื่อมั่นในคำสอนและเชื่อมั่นในตนเองว่า "จะไม่ยอมทุกข์ดักดานแบบนี้หรอก " เมื่อครั้งผมเข้าอปิตะที่หนึ่งครั้งสุดท้าย ผมทุกข์จนต้องเทคำสอนออกจากกระเป๋า(ความเข้าใจ) ของตนเองพร้อมน้ำตานอง เอาคำสอนทั้งหมดมาเรียงกองเลือกดูเลยว่าจะใช้วิธีไหนแบบไหนดี ทุกข์นั้นเกิดได้แต่ทุกข์แบบมีสตินั้นทำได้ สติเพื่อให้รู้ว่ากำลังทุกข์อยู่แล้วจะหายแต่ตอนนี้ยังทุกข์อยู่ ขั้นตอนการอยู่รอดทำอย่างไร สร้างสิ่งที่จำเป็นต้องทำให้ตนเองและดำเนินชีวิตต่อ ขณะนั้นผมคิดว่าทุกข์ขนาดนี้จะตายไหมนะ เพราะไม่หิวและนอนไม่หลับติดๆ กันเป็นเวลานาน แต่ผมก็สรุปและคิดว่าทุกข์จนตายก็ดีสิจะได้กลับบ้านหาท่าน แล้วดูสิผมก็ยังมานั่งเขียนสาระพันทุกข์สุขอยู่นี่เลย>>>> ลองดูสิ ..ไม่มีทุกข์ขนาดตาย ง่ายๆ แบบนั้นหรอก แต่ทุกข์เกิดจากความคิดซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกกับสิ่งนั้น ๆ ขณะนั้นผมรู้ว่าผมทุกข์แล้วผมก็ตั้งสติแล้วสรุปความคิดตัวเองว่าน่าจะทุกข์อยู่สามเดือนแล้วน่าจะดีขึ้น ทำความเข้าใจแล้วผมก็ดำเนินชีวิตต่อ เหมือนปกติ แต่ทุกข์สาหัสมันก็ยังทุกข์อยู่นะ สุดท้ายมันก็จะผ่านมา ทุกข์มันมีคำว่าเวลาเป็นตัวแปรสำคัญ ถ้าเราไม่กล้าหาญ ทำความเข้าใจ ก็มักจะแพ้ตนเองไปซะตั้งแต่สามวันแรก ณ สุดท้ายของคำว่าทุกข์ ลองทำตามที่คุรุสอนแบบไม่มีเงื่อนไขดูสิ ว่าจริง ๆ แล้ว ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ หรือถึงทุกข์มากตรอมใจตาย ตายก็ได้กลับบ้านมันไม่มีอะไรเสียหายนิ นะ แต่พอผ่านช่วงเวลาของคำว่ทุกข์สาหัสมาได้ เมื่อมองย้อนกลับไปดูช่วงเวลาเหล่านั้นในความทรงจำ จะรู้สึกว่าเรานี่ช่างโง่ ซะ เสียจริง ..ม.อ.น้อยไม่ต้องขอบคุณผมหรอกนะ ผมทำตามหน้าที่และแอบใส่ความหวังดีเล็ก ๆ เอาไว้ ว่าจะพอมีตันตริกหรือผู้ผ่านมาหยิบเอาไปปรับใช้ได้บ้าง เราเหล่าตันตริกสื่อสารกันด้วยใจ ความรู้สึกคิดถึงที่ ม.อ.น้อยมีให้ท่านๆ นั้น ถึงมือแน่นอน |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-24 13:22:26 |
ความคิดเห็นที่ 624 (2941673) | |
**~MAGIC CHARMING~** | ไม่คิดก็ไม่ทุกข์...แต่ทำยากจัง จมอยู่กับความทุกข์มาเป็นปีแล้ว จนทุกวันนี้ทุกข์นั้นก็ยังอยู่ ไม่ว่าจะย้ายตัวเองไปอยู่มุมไหนของโลกมันก็ยังคงอยู่กับเรา จนต้องย้อนถามตัวเองว่า "ทำไมใบไม้จึงไหว" |
ผู้แสดงความคิดเห็น **~MAGIC CHARMING~** (noi_wong-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-25 09:06:57 |
ความคิดเห็นที่ 625 (2944077) | |
munung | จริงด้วยนะคะ คนเรามักจะตกอยู่ในความทุกข์ ทุกข์ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แม้แต่ทุกข์เพราะความไม่รู้ แล้วเก็บมาเครียด..หรือรู้แล้วก็ยังเก็บมาคิดให้หนักๆๆๆ จนสุดท้ายแล้วถึงแม้จะรู้คำตอบแล้วก็ตาม พอหันกลับไปย้อนมองตั้งแต่ต้น... เราเสียเวลามานั่งเก็บความทุกข์เอาไว้ในใจทำไมกัน ใช่ไหมเจ้าคะ...ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม |
ผู้แสดงความคิดเห็น munung (mootoo_buf-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-11-30 04:37:01 |
ความคิดเห็นที่ 626 (2945074) | |
ธีรนายะตันตระ | เอารูปพระจันทร์ยิ้มสวยๆ เมื่อคืนมาฝากค่ะ ^___________^ |
ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรนายะตันตระ (oat_tvdr-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-02 10:38:27 |
ความคิดเห็นที่ 627 (2945247) | |
asinatantra | พระจันทร์กับดาว รวมกันแบบไม่มีหน้าตา แต่ก็ดูยิ้มมีความสุข แต่ คนไทย หน้าตามี(เยอะเกินไป)เลยไม่ยิ้มให้กันแล้ว .... ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...เปลี่ยนเรื่องด่วน !! คร๊าบบบบบบ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-02 14:44:41 |
ความคิดเห็นที่ 628 (2946918) | |
asinatantra | หมูพิฆาต หรือ? ไม่นะ วันอังคารของอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ ผมเดินกลับมาเอารถที่บ้านเพื่อทำหน้าที่เด็กวิ่งเอกสารให้เจ้าบ้าน เดินเปิดประตูเข้ามาบริเวณสนามก็ต้องแปลกใจด้วยเห็นหมูขาว(สมุนเบบี๋) นั่งอยู่กลางสนามไกลเชียว แหมมคิดว่าหมูขาวขยันเดินเล่นไปไกล แต่ อะ เพ่งมองอีกที มีกองอะไรซักอย่างสีเทา ๆ อยู่ที่พื้นสนามหญ้าตรงหน้าหมูขาว ..จากการพิจารณาระยะไกล ผมว่าน่าจะเป็นศพอะไรซักอย่าง ก็เลยเดินเข้าไปดู .. แฮ แฮ ..ครือ.. ครือ ..หมูขาวทำเสียงขู่ผม เพราะคงคาดเดาได้ถึงปฎิกิริยาของผมต่อศพนกพิราบตัวโต ขนหาย และเยิ้มไปด้วยน้ำลายตรงหน้าหมู หลังจากผมส่งเสียงด่าไปหนึ่งกระบุงหมูขาวก็คาบศพนกพิราบวิ่งไปอีกทางหนึ่งเพื่อหนีผม ..อืม เจ้าหมูจอมสร้างปัญหานี่ ผมมานั่งนึกดูเร็ว ๆ ว่าศพนกพิราบตัวใหญ่มาอยู่กับหมูขาวได้อย่างไร ความเร็วหมูขาวไม่มีทางทันระยะเทคออฟของนกพิราบได้อยู่แล้ว อิมพอสซิเบิ้น สำหรับผม !! ผมก็เลยคิดว่า นกคงโดนอีกา โค ตะ ระ ดุ ในพื้นที่ตีเอาถึงตายและศพก็มาอยู่ที่สนามโดยบังเอิญและหมูขาวก็เดินไปเจอ เลยเอามาอมจนน้ำลายเยิ้มขนาดนั้น.. ขณะที่คิดเรื่องที่มาของศพนกอยู่ในหัว หันไปมองอีกทีหมูขาวกำลังวิ่ง(เน้นว่าวิ่ง) คาบเอาศพนกพิราบในปากพร้อมน้าลายกลับไปที่ห้องนอน ซึ่งมีหมูน้ำตาลยืนรออยู่แบบกลัว ๆ ว่าผมสงเสียงดังด่าอะไร อะ จ๊ากกกก ถ้าภาระกิจวิ่งของหมูสำเร็จ ถึงห้องเามื่อไหร่ ศพนกพิราบต้องถูกทึ่งระหว่างหมูขาวและหมูน้ำตาลจนไส้แตกออกมาแน่นอน เลือดสาด เลอะกระจาย !!! คิดได้ดังนี้ผมส่งเสียงดังสิบแปดหลอด ด่าๆๆๆๆ ไปที่หมูขาว และรีบวิ่งไปหยิบผ้าเช็ดพื้นหนึ่งผืนวิ่งไปสกัดหมูขาว ก่อนจะถึงบ้าน..ฮะ ๆๆ แน่นอนว่าความเร็วสองขาของผมเร็วกว่าหมูขาวอยู่แล๋น พอถึงตัว หมูขาวก็วางศพนกลงกับพื้นหญ้า และเริ่มส่งเสียงขู่ผมอีก ซึ่งผมก็ด่าๆๆๆๆ กลับบอกหมูขาวว่า ผมกลัวแย่หละนี่ ระหว่างด่า ๆๆๆ ซึ่งหมูขาวมองหน้าผมไม่กระพริบตาด้วยกล้วแย่งศพนกไป(กินเองมั่ง) ผมก็โยนผ้าเช็ดพื้นที่พกมาลงบนศพนกพิราบ คลุมครบทั้งตัวพอดี??? และด้วยประสิทธิภาพของโปรแกรมประมวลผลของสมุนหมูพันธุ์นี้ หมูขาวหาศพนกพิราบไม่เจอ ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆ ผมทั้งขำทั้งอนาจใจ พระเจ้า!!! และผมก็เอื้อมมือหยิบผ้าที่มีศพนกพิราบด้านล่างขึ้นมาอย่างง่ายดาย เดินอี๊ ๆๆ ขยักขแยงเอาไปทิ้งถังขยะหน้าบ้านได้สำเร็จ ... หมดเวร หมด กรรมกันไป ..หมูขาวซึ่งยังงง ประมวลผลไม่ทันก็ได้ทำการดมหา ศพนกของตัวเองอยู่พักนึงก็เดินลิ้นห้อยกลับเข้าห้องนอนตัวเองแบบหมดสภาพเพราะหายใจไม่ทันด้วยความตื้นเต้น.. โถถถ หมูขาว เอ๋ยยยย |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-06 17:22:15 |
ความคิดเห็นที่ 629 (2946921) | |
asinatantra | หมูน้ำตาลอิจฉาน้อง??? อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ทำให้ผมปวดเฮดเป็นอันมากมาตั้งแต่หมูขาวผู้น้องย่างเข้าสองขวบครึ่งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตั้งแต่หมูขาวเข้าบ้านมาตั้งแต่สี่เดือนหมูน้ำตาลก็เลี้ยงดูแลน้องอย่างดีเสมอมา จริงๆ นะครับ กินก็ให้น้องกินก่อน ของเล่นก็ให้น้องเล่นก่อน กรงก็ให้น้องใช้ สาระพัดจะดี ..แต่ตั้งแต่มิถุนายนที่ผ่านมา หมูน้ำตาลก็เปลี่ยนไปจากเคยให้น้องก่อนก็กลายเป็นแย่งกันทุกอย่าง กิน เล่น นอน กรงอันเป็นที่รัก และแม้แต่พัดลม และรวมผมเข้าไปด้วยในนั้น.. ทีนี้ด้วยหมูท้้งสองเป็นตัวผู้ทั้งคู่ ใครหละจะเป็นผู้ที่แข็งแรงกว่าและแมนกว่า หลาย ๆ ครั้งก็แย่งขนมกันจนกัดกันน้ำลายกระจายและแถมด้วยเลือดซิบ ๆ ที่ปากของแต่ละฝ่าย ซึ่งผมเจ้านายที่ดีก็ยืนดูให้กัดกันไปจนกว่าจะเหนื่อยและหยุดกันไปเอง ซึ่งเวลาหมูกัดกันคุณ ๆ จะนึกภาพออกได้จากภาพสารคดีของฮิบโป โปเตมัส ที่เวลากัดกันเค้าจะเอาหัวฟาดกันไปมา ซ้ายขวาซ้ายขวา เสียงดัง ปับ ปับ ปับ..และซักพักก็ลงนั่ง หอบ แฮก ๆ ด้วยหายใจไม่ทัน!! เฮ้อออ และอีกอย่างที่น่ารำคาญจนถึงที่สุดคือการแย่งกันฉี่ นายฉี่ตรงนี่ฉันฉี่ทับนายและฉานก็กลับมาฉี่ทับนายอีกที!! ซึ่งทำให้ตอนนี้บริเวณที่จอดรถ และภายในห้องนอน มีแต่ฉี่กับฉี่หมู ที่พยายามแบ่งอนาเขตกันว่าครายใหญ่กว่าคราย ส่วนคนรับใช้บ้าความสะอาดแบบผมก็ตามเช็ดไปสิ ทั้งค่าแรงตัวเองและราคาค่าน้ำยาขจัดกลิ่นที่หมดไปแต่ละอาทิตย์ โอ้ พระเจ้าาาาา .. และด้วยถามข้อมูลจากพ่อเพชรเสถียรและลูกหมาดำมา ด้วยอยากรู้ว่าสงครามขี้อิจฉาและฉี่นี่มันจะจบเมื่อไหร่ และคำตอบของผู้ชำนาญการเลี้ยงสมุนที่มีให้ผมมีแต่คำว่า " Good luck " ฮื่ออๆๆๆๆๆๆ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-06 17:39:48 |
ความคิดเห็นที่ 630 (2947119) | |
asinatantra | ผมก็เอาส่วนขำ ๆ ของหมูมาล้อประจำด้วยเกิดมาไม่เคยเห็น..แต่สมุนหมูน้ำตาลตัวนี้ หัวใจชมพูสุดแรง ไปไหนไปกัน เดินไหนเดินด้วย นั่งไหนนั่งกัน ไม่เคยทิ้งผมแม้แต่นิ๊ดดดด .. ตั้งแต่มาอยู่กับผมตั้งแต่อายุสองเดือน ปัญหาเกิดขึ้นสาระพัด ขาหัก นิวมอเนีย ผ่าตา โรคภูมิแพ้ ผ่าเข่า โรคผิวหนัง แต่หมูน้ำตาลก็น่ารักเหมือนเดิม.. จุ๊บๆๆๆๆๆ จุ๊บบบบบ
|
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-07 14:23:32 |
ความคิดเห็นที่ 631 (2947267) | |
kokomi | รักด้วยคนนะค่ะ.....จะหมูใหนก็รักค่ะ...อิอิ |
ผู้แสดงความคิดเห็น kokomi (kokomi_c-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-08 01:01:57 |
ความคิดเห็นที่ 632 (2947563) | |
Piggyboy | ย่องมาดู ^&^ |
ผู้แสดงความคิดเห็น Piggyboy (pattariya_s-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-08 15:23:05 |
ความคิดเห็นที่ 633 (2947811) | |
ธีรนายะตันตระ | บทเรียนเดิม ในมุมมองใหม่ เมื่อเดือนนี้ของปีที่แล้ว (4-12-2007) วิธีเดียว ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ท่านได้เมตตาตอบไว้ว่า ถ้าความสุขของเรายืนอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ซักวันมันก็ย้อนมาทำให้ตนเองทุกข์ใจ หากรักของตนเองที่มีบุคคลอื่นเป็นปัจจัยมันก่อให้เกิดทุกข์ ผมเองก็ชี้ได้ แค่หนทางนะ ครับ... ********** หากคนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะได้กลับมาอ่าน กลับมาเจอสิ่งที่ท่านเมตตาสอน "ความสุขที่ถาวร คือ หนทางที่ทำให้ลดการเกิดทุกข์รายวันขึ้นได้ " การยอมรับในความต่าง ของกันและกัน ผ่านมา 1 ปี...ถึงเดือนสุดท้ายของปีอีกครั้ง เหมือนเมื่อคาบเรียนเวชเมื่อเดือน 9 ที่ผ่านมา "หาความสุขของตนเองให้เจอ" อย่างน้อย ณ เวลานี้... หนูก็ได้พยายามแล้ว หากความจริงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกที่บอกไป ทำให้คนอีกคนเสียใจมาก และได้ถึงเวลาเริ่มต้น ออกเดินทางไปหาความสุขของตนสักที ตอนจบอาจจะดูโหดร้าย... แต่ในชีวิตนี้ ***ขอบพระคุณคำสั่งสอน และคำแนะนำ "ตันตริกทุกคนมีสิทธิ์ พ้นทุกข์หมด เหมือน ๆ กัน" |
ผู้แสดงความคิดเห็น ธีรนายะตันตระ (oat_tvdr-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-09 09:14:44 |
ความคิดเห็นที่ 634 (2947997) | |
munung | สิ่งหนึ่งที่นู๋มีความสุขเสมอ..ก่อนที่นู๋จะเริ่ม วางทุกข์ลงได้ก็คือ..นู๋จะยิ้มแล้วนึกถึงท่านค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ท่าน asinatantra วันนี้นู๋มีความสุขในบ้านหลังนี้ค่ะ. |
ผู้แสดงความคิดเห็น munung (mootoo_buf-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-09 15:47:44 |
ความคิดเห็นที่ 635 (2948213) | |
asinatantra | ผมเห็นคนมีความสุข ผมดีใจนะ มันกลายเป็นของหายากไปแล้วอ้ายคำง่ายๆ สองพยางค์คำนี้!! หน้าหมูนึ่ง ดูเป็นคนมีความสุขหละ แฉ่งดี เจอแล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนมีความสุขตามอัตภาพดี ..ก็ขอให้รักษาต้นส้มของตนเองไว้ให้ออกลูกออกผลให้กินชื่นใจไปนาน ๆ ก็อย่างที่คอยบอกเสมอ คนชี้ก็แค่ชี้ให้เห็นทางเดิน สร้างบ้านให้ร่มเย็นหน้าอยู่ สร้างครอบครัวที่แม้จะตบตีกันบ้างแต่ก็เลือดเดียวกันไว้ให้กลับมาหายามเหงา มากกว่านี้ต้องแบออกจากกำมือตนเอง เอง.. สู้ ๆ นะ นู๋นะ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-10 10:46:43 |
ความคิดเห็นที่ 636 (2949354) | |
munung | ...ก็ขอให้รักษาต้นส้มของตนเองไว้ ให้ออกลูกออกผลให้กินชื่นใจไปนานๆ... นู๋จะรักษาต้นส้มต้นนี้คอยรดน้ำหัวใจให้สดชื่นเสมอ คนที่รับผลส้มไปทานจะได้ชื่นใจด้วยใช่ไหมเจ้าคะ นู๋จะรักษาต้นส้มต้นนี้ให้ดีที่สุดเลยค่ะท่าน "นู๋รักท่านค่ะ" |
ผู้แสดงความคิดเห็น munung (mootoo_buf-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-13 10:32:34 |
ความคิดเห็นที่ 637 (2949671) | |
asinatantra | ถูกใจ กับ ถูกต้อง.. มักจะมีคนมาถามเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ ว่าจะรู้ได้ไงว่าอันไหนถูกใจหรืออันไหนถูกต้อง ผมมักจะบอกให้ผู้ถามยกตัวอย่างให้และผมจะชี้ให้เห็น และผมก็จะอธิบายตามไปเสมอว่า มนุษย์โดยส่วนมากรู้ว่าอะไรคือถูกใจและถูกต้องของตนเอง แต่เพราะไม่อยากรู้ซะมากกว่าด้วยเหตุว่าเมื่อรู้ว่ามันไม่ถูกต้องแต่อยากทำแล้วจะทำอย่างไร? รู้ว่าตนเองกำลังเลือกทางเดินของตนเองแบบถูกใจซึ่งมันจะนำผลกลับมาหาตนเองในอนาคตแน่นอน แต่ฝันและหวังเอาไว้ว่าคงรอด. คำว่า " เอ่งเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่ " มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องถามตนเองเสมอ ๆ เพื่อให้รู้ว่าอะไรคือตนเองและความถูกต้องของตนเอง แต่สิ่งที่ยากคือการยอมรับในตนเองโดยไม่โกหกตนเอง นั้นแหละที่ผมสังเกตุว่ายาก หลายๆ ครั้งที่ผมชี้ความถูกต้องให้ผู้ถามเห็นแต่มันดันเป็นทางตรงกันข้ามกับทางที่ผู้ถามกำลังเดินไป ทำไงหละ ? ผู้ถามจะเลือกทางไหน ? ยกตัวอย่าง วศินะตันตระ หลายๆ ครั้งที่มาขอคำปรึกษาเพื่อเลือกทางเดิน สิ่งที่ผมชี้ให้เห็นก็มักจะแปลกสำหรับเค้าเสมอ ๆ วศินะตันตระมักจะชอบพูดว่าการมาคุยกับผมเหมือนโดนไม้ตีแสกหน้าทุกทีและก็หัวเราะทั้งน้ำตาบ้าง แต่วศินะตันตระก็บอกว่า "แต่มันก็เป็นหนทางแห่งความเป็นจริง จริง ๆ " ผมก็บอกไปว่าผมเป็นพวกแก้ที่ต้นเหตุ ผมไม่ชอบทุกข์ซ้ำซาก ผมจำต้องทนเจ็บเพื่อบีบหนองออกและเดินต่อไป ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกดีหรอกที่เวลาคนมานั่งขอคำปรึกษาจะน้ำตาเอ่อเต็มเบ้าตา ผมไม่เคยรู้สึกซะใจอะไรเลยที่ทำคนน้ำตาไหลได้ด้วยคำพูพผม แต่ความจริงเป็นสิ่งเจ็บปวด แต่มันมีประโยชน์มากในการเห็นมัน เพราะไม่อย่างนั้นปมชีวิตมันก็จะผูกกันใหญ่ขึ้นๆ จนวันหนึ่งที่แก่ลงเป็นไม้แก่แล้วมันก็อยากที่จะดัดให้ไปตามทางที่ควรเป็นได้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมักจะบอกเสมอ ๆ ว่ามันอยู่ที่ตัวเราว่า ตั้งใจจะหลุดจากทุกข์แบบมนุษย์หรือไม่ หรือไม่ถือสากับความทุกข์ขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เป็น รัก โลภ โกธร หลง แค่ต้องตอบกับตัวเราเองว่าเราเป็นอะไรและทำอะไรอยู่ให้ได้ก่อนแล้วจะได้เลือกทางเดินถูก เพราะเมื่อวันเวลาแห่งการทุกข์โดยรูปธรรมมาถึงคือ ป่วย มันไม่สามารถมีสติปัญญามาเรียนปรัชญากันง่ายเพราะต้องต่อสู้กับอาการปวดหรือทรมานกับความป่วย ผมเองเมื่อได้มาถึงจุดป่วยเลยเรียนรู้ว่าเมื่อสังขารเกิดการทรมานขึ้น มันแทบจะนึกวิธีการแก้ทุกข์ไม่ออก นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นโรคขั้นรุนแรงแบบมะเร็งเลยซะด้วยซ้ำ นะ... พิธีกรรมต่างๆ ที่ตั้งกันขึ้นในยามเทศกาลนี้ ศีลและทำ อย่ามองแค่ว่าสนุกและขั้นเปลี่ยนแปลง อะไรคือความหมายที่เจ้าบ้านอยากสอน สิ่งที่ตั้งระเบียบในตัวเองขึ้นมาว่าจะทำ ทำแล้วผลดีผลเสียเป็นอย่างไร มันสอนอะไรอยู่ในนั้น ..เพราะการตั้งศีลและทำเป็นวิธีเรียนรู้ ถูกใจและถูกต้อง ประเภทหนึ่งเชียวหละ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-14 10:01:13 |
ความคิดเห็นที่ 638 (2951527) | |
wasinatantra | ก็เริ่มมองเห็นเเล้วเจ้าคะ... สุขสบายใน<ใจ>ขึ้นมากเเล้วตั้งเเต่เข้าไปปรึกษากับท่าน...ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะรักษาตัวจิงๆเวลาเป็น.....เครื่องทดสอบทุกอย่างอยู่เเล้วอยู่ที่ว่าเราพร้อมที่จะยอมรับความเป็นจริงที่เเสนจะเจ็บปวดของมนุษย์เเล้วรึยังเพราะความเป็นจริงสำหรับมนุษย์เเล้วนั้นก์เปรียบเสมือนเเผลที่เป็นหนองที่อยู่ภายในบางคนเลือกที่จะปล่อยทิ้งมันไปอย่างนั้นเนื่องจากกลัวว่าถ้าต้องบีบหนองนั้นออกมาจะทำให้ต้องเจ็บปวดเเต่ก็รู้ทั้งรู้ว่าเเผลจะไม่มีวันหายถ้าไม่รักษาเเต่นั้นก็ด้วยว่ากลัวที่จะเจ็บเเละอายที่จะต้องเจ็บเท่านั้น......เเต่ถามว่าจะผิดมั้ยถ้าจะไม่รักษาดิชั้นว่า.....ไม่....เพราะมนุษย์ทุกคนมีทางเลือกเป็นของตนเองถ้าเลือกเเล้วที่จะไม่รักษาหนองเเละมีสุขเเล้วที่เป็นเเบบนี้ดิชั้นก็ไม่เห็นว่ามันจะผิดที่ตรงไหนเเค่เลือกทางที่คุณจะไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังก็เพียงพอ |
ผู้แสดงความคิดเห็น wasinatantra (f3rniz-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-19 01:40:36 |
ความคิดเห็นที่ 639 (2951664) | |
asinatantra | โหะ โหะ โหะ ... วศินะตันตระ มาน เขียนอะไรๆแบบผู้ใหญ่เป็นแล้ว ซึ่งมันก็หมายถึงว่า " แก่ " ขึ้น โฮะ โฮะ โฮะ อันนี้แน่นอน เลือกเดินทางไหนก็ได้ที่เราไม่ทุกข์และไม่ผิดต่อความถูกต้องของตนเอง ... ความไม่ทุกข์อันถาวรก็จะมาเยือนเราและอยู่กะเรา อุอ อุ อุ แก่กกกกกกก |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-19 12:19:21 |
ความคิดเห็นที่ 640 (2951942) | |
asinatantra | หลายวันก่อนมีนู๋คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า นู๋อีกคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าโดนปู่(...) แซวว่าเป็นไงหละอยากคุยกับผมดีนักเลยต้องมานั่งตีความมากจนปวดหมอง 555555 ฟังแล้วผมก็ชอบใจ จริงแท้แน่นอนที่สุด ผมมักจะทำให้นู๋ ๆ และเพื่อน ๆ ปวดหมองไปกับแนวทางการตีความของผม ผมมักจะได้เหยื่อที่มาเคาะประตูห้องทำงานให้ผมช่วยชี้ทางคิดให้ ซึ่งผมก็แอบนึกดีใจในใจว่า ฮี่ ฮี่.. มีเหยื่อมาให้เล่นถึงที่ ฮี่ ฮี่.. ถามมาผมก็จัดห้ายยยยย .. ปู่(...) คนนี้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเรียนปัชญามาตั้งแต่ผมยังเด็กมาก ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านกล่องทิชชูที่เอาเช็ดน้ำตาสั่งน้ำมูกกันมาหลายกล่อง 5555 จนแก่มาจนถึงป่านนี้ก็ได้อาการเพี้ยนกันไปคนละอย่าง ผมซึ่งมีฉายามาตั้งแต่เด็กว่า ก่อไผ่เบียดกันจนไฟลุกซึ่งหมายความว่าวิธีที่ผมชอบตีความคำสอนถูกคุรุท่านว่าเอาว่าผมเหมือนก่อไผ่ที่ขึ้นเบียดกันจนเน่นเกินพอดีคือตีความมันทุกเรื่อง พอก่อไผ่เบียดกันไปมามาก ๆ ไฟก็ลุกติดไหมเกรียมไปทั้งก่อกว่าจะโตอีกก็ต้องหยอดข้าวต้มกันไปนาน 55555 คิดแล้วก็ขำดี ส่วนปูู่(...) เติมชื่อกันเอาเองนะ..ตอนเด็ก ๆ ไม่มีฉายาเพราะปู่ฟังอย่างเดียวถามบ้างและไม่ตีความมากขนาดผม แกชอบนั่งเรียนแบบอยู่เหมือนไม่อยู่ เพราะผมแย่งพูดแย่งถามอยู่คนเดียว แต่พอโตมาด้วยกันปู่ก็เพี้ยนไปจนพูดให้ใครฟังอะไรไม่ค่อยเข้าใจ คือหมายความว่าปู่แกเข้าใจของแกคนเดียว 55555 จนผมและคนรุ่นเดียวกันที่เหลือน้อยนิดเรียกปู่แกว่า " ทัพหน้า " เพราะไม่ว่าคนนอกหรือเด็กใหม่หรือผู้อยากรู้ที่น้ำล้นแก้วมาเพียงใด เราเพียงแค่ส่งปู่ไปเจรจาความด้วยในขั้นตอนแรก บุคคลนั้น ๆ จะ ถูกปู่แกเขย่าจนใบไม้ร่วงหมดต้นและเราค่อยส่งทัพเสิรมเข้าไปเจรจาให้คนนั้น ๆ เห็นใบไม้ไหวของต้นไม้ และตามด้วยให้ทัพหลักใส่เมล็ดแปลงต้นไม้ต้นนั้นๆ กลายเป็นต้นส้มอีกที 5555555555 โอ้ยยย แค่นึกถึงขั้นตอนการทำงานสุดเริ่ดของปู่ผมก็นั่งหัวเราะคนเดียวได้แล้ว 555555 ... เด็กตันตริกใหม่ ๆ มักจะงงๆ และไม่กล้าออกความคิดเห็นเวลาผมแซวปู่(...)แรงๆ แบบนี้ แต่ผมรู้ว่าปู่แกเข้าใจความหมายดีและเราก็มักจะหัวเราะด้วยกันเสมอ เพราะผมและปู่เป็นนักเรียนรุ่นเดียวกันจริงๆ เรานั่งเรียนนั่งงงนั่งบ้านั่งร้องไห้มาด้วยกัน เห็นความเพี้ยนของกันและกันมานานมากกกกกก จนไม่เหลือหน้าตาและตัวตนระหว่างกันให้ถือให้หนักมือกันอีก .. เหมือนกับที่ตันตริกรุ่นใหม่อาจจะงงว่า นี่ปู่กล้าแซวผมเชียวเหรอ 5555555 อีตาปู่คนนี้คนเดียวแหละที่กล้าแซวผมเรื่องนี้เพราะรู้ที่มาของคำว่า ไผ่แน่นก่อ ของผมเป็นอย่างดี...จริงมั้ยปู่??? จริงๆ แล้วรุ่นเดียวกันก็มีปู่อีกคน ซึ่งผมก็เรียกชื่อนำหน้าชื่อจริงว่าปู่เหมือนกัน..ถึงตอนเรียนผมและปู่อีกคนจะไม่ค่อยเจอกัน มาเจอกันก็ตอนห้องเรียนย้ายที่แล้ว แต่ปู่อีกคนก็เติบโตมาเพี้ยนสุดโต่งเหมือนกัน หลายๆ ทีที่ผมก็ปู่อีกคนนั่งคุยกันนานสองนานด้วยความสนุกสนาน แต่ถ้ามีคนมานั่งฟังจะต้อง อึ่งกิมกี่ ที่ว่าผมกับปู่อีกคนคุยกันคนละเรื่องตลอดเวลาแต่ก็นั่งคุยกันนานและรู้เรื่องด้วยนะ 555555555555555 มานั่งคิดดูแล้วคนรุ่นนั้น ๆ มันเพี้ยนจริงซึ่งก็รวมผมด้วยนะ มีป้าอีกคนที่ตายได้กลับบ้านไปแล้วแกก็บอกเพื่อนฟูงว่าตนเองชั่วเข้าไขกระดูก55555 ดูดิมีใครกล้าด่าตนเองแบบนี้และป้าแกก็คงคอนเซ็ปนะ แกก็ชั่วสุดใจจริงๆ แต่ไม่ใช่กับพวกเรานะ ซึ่งความชั่วแกทำให้เราผู้ติดตามเรื่องราวนั่งหัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหลเสมอๆ กับความชั่วที่แกเอามาเล่า 555555 มียาย(...)อีกคนที่เป็นนักเรียนรุ่นหลังผมหลายปี ซึ่งเดียวนี้ก็เริ่มพัฒนาความเพี้ยนมาติด ๆ จนเริ่มเดินยิ้มคนเดียว เดินหัวเราะคนเดียว บ่อยขึ้น ๆ ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่นของยายก็มีหมาอีกตัวซึ่งความเพี้ยนไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นได้เด่นชัดจนเล่าไม่หมด 55555555555555555555555555 พระเจ้ามันขำกลิ้ง จริง ๆ นะ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2008-12-20 10:39:20 |
ความคิดเห็นที่ 641 (2956862) | |
asinatantra | สิ่งที่ยืนยันการเป็นมนุษย์ อาทิตย์ก่อนมีตอบไปว่า ตันตริกอย่างผมเป็นอะไรกันแน่..เกิด แก่ เจ็บ ตาย และ ทุกข์ทรมานใจ นั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีเชียวหละ ผมไม่ค่อยแคร์การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อตนเองซักเท่าใดด้วยเป้าหมายอยากกลับบ้านอันแรงกล้า แต่เหตุการณ์ที่มาพิสูจน์ความเป็นอสินะตันตระก็เกิดอีกจนได้ มันหนักหน่วงและทรมานนัก เหมือนถูกดึงสิ่งที่มากกว่าชีวิตออกไปจากร่าง เหมือนถูกดึงคำว่าสุขออกจากร่างกายนี้ เป็นอีกคราที่ต้องเทคำสอนออกมาหมดกระเป๋าเพื่อเลือกใช้ให้ถูกทาง ..นานแล้วที่ปลาตัวหนึ่งตัวนี้ที่มีเนื้อหนังและก้างประกอบกันว่ายน้ำมาตามหนทางครรลองชีวิตถึงก้างปลาและเนื้อปลาจะทิ่มกันเจ็บๆ ไปบ้างแต่ปลาตัวนี้ก็ว่ายน้ำได้ดีเสมอมา วันนี้ปลาตัวนี้เหมือนกำลังจะถูกแยกเนื้อและก้างออกจากกันแล้วมันจะว่ายน้ำได้อย่างไร? ด้วยเวชที่เรียนมา ผมเข้าใจที่มาและที่ไปและด้วยศรัทธาที่ไม่เคยเปลี่ยน ผมต้องต่อก้างปลากับเนื้อปลาเข้าด้วยกันอีกให้ได้ ขอบคุณเพื่อน ๆ ชาวตันตริกทุกคน หมูนึ่งและ แมงมุมที่ยอมเหนื่อยตลอดเวลา และทุกๆคนที่ช่วยเหลือและให้กำลังใจ ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ส่งเสียงคำสวดอ้อนวอน ขอพร ทุกวัน ทุกคืน เราจะผ่านมันไปให้ได้ด้วยกัน ถึงผมจะพูดไม่ค่อยออกนักในช่วงนี้แต่หากเพื่อน ๆ ผ่านมาอ่านผมแค่อยากบอกว่า " ขอบคุณ " |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-06 10:23:59 |
ความคิดเห็นที่ 642 (2957025) | |
key holder | อ่านความคิดเห็นที่ 641 ของท่าน อสินะแล้ว กะผมมีความรู้สึกว่า มันมีความหมายโดยนัยซ่อนอยู่มากกว่าข้อความที่เขียนขึ้นมา นี่กะผมคิดมากไปเอง หรือว่า กะผมคิดถูกแล้ววว ท่านคับ ... อย่าทิ้งผมนะ ท่านไปไหน ผมไปด้วย |
ผู้แสดงความคิดเห็น key holder (asitteetantra-at-yahoo-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-06 17:07:45 |
ความคิดเห็นที่ 643 (2958610) | |
Mr.Ocean | ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น Mr.Ocean วันที่ตอบ 2009-01-10 17:43:18 |
ความคิดเห็นที่ 644 (2961263) | |
asinatantra | ความสุขใกล้ตัว คว้าไว้ก่อน.. คำสอนนี้คุรุ 3.3 สอนผมไว้ เมื่อก่อนด้วยความรู้ค่าแห่งสุขและรู้ว่าสาหัสของทุกข์เป็นไงได้ละเอียดมากระดับหนึ่ง ผมจึงมักเป็นคนเผื่อสีิ่งหรือการกระทำหรือช่วงเวลาที่รู้แน่นอนว่าจะทำให้ตนเองสุขได้เอาไว้ เช่นตัวอย่างหนึ่ง หนังดีแนวที่ชอบ ผมก็มักจะเก็บเอาไว้ดูตอนที่ผมอาจจะเกิดทุกข์ใจ จนเวลาผ่านไปผมก็สะสมสิ่งที่น่าจะสุขเผื่อเอาไว้ยามทุกข์เยอะแยะโดยที่เวลาที่ทุกข์จริง ๆ มาถึงมันไม่มีเวลา อารมณ์ที่จะนึกถึงสิ่งที่เก็บเอาไว้เผื่อเลยสักนิด ช่วงเวลาที่นึกถึงสิ่งสำรองเหล่านั้นได้คือช่วงเวลาไม่สบายใจซักเท่าไหร่แค่นั้น ผมพิสูจน์มากี่ที กี่ที เวลาทุกข์ใจจริงๆ เกิดขึ้นนั้น ผมเองไม่มีกำลังจะมองหาอะไรมาแก้ซะด้วยซ้ำนอกจากต้องทำการเทคำสอนออกจากความเข้าใจเอามาเลือกใช้ให้เหมาะสมและตามด้วยคาถาของท่านคุรุ ธัญญะ ที่ให้ไว้ว่า ถอดปลั๊กซะ คือ นอนซะ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงเหตุและผลของเรื่องและทุกข์ผมจะรู้และมีทางแก้ไขเอาไว้และจำขั้นตอนของทุกข์ได้ พอมันผ่านมาถึงวันนี้ผมก็มานึกถึงคำสอน " สุขใกล้ตัว คว้าไว้ก่อน " ขึ้นมาในค่ำนี้อีก จริงๆ นะหากอะไรที่แน่นอนว่าจะสุขโดยไม่ทำใครเดือนร้อนหรือผิดความถูกต้องของตนเอง ทำเลยเถอะเพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่า กรรม หรือ ทุกข์ มันจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ ถึงจะรู้กรรมและเลี่ยงกรรมเป็นอย่างไร อาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้อย่างไร แต่การเกิดในสังขารมนุษย์ก็ต้องอยู่ใต้กรรมเสมอเช่นเดียวกับการกินข้าวและเอาเท้าเดินบนพื้น ถึงเราท่านหรือผมจะฝึกฝนมาเพียงใดควบคุมสมการตัวเราเองได้เพียงใด แต่เราก็ไม่สามารถควบคุมสมการอื่นๆ รอบตัวเราได้.. วันที่ผ่านมา.. ผมโชคดีที่มีเพื่อน(ผู้คนที่แวะเวียนมาเทวาลัย) มีครอบครัว(ตันตระ)ที่สนับสนุนและรองรับผม และเหล่าดำทหารกลุ่มน้อยที่พ่อท่านมอบเอาไว้ให้ที่ทำตามคำสั่งเสมอโดยไม่มีแม้คำถามหรือคำพูดอะไร กลุ่มสีอื่น ขาว น้ำเงิน แดง ที่สนับสนุน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผมรู้ว่าผมมีครอบครัวถึงแม้ว่าทั้งหมดนั้นอาจจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผมหมิ่นแหม่จะเสียไป ผมคงทำภาระหน้าที่ในชาตินี้ไม่สำเร็จถ้าผมเสียท่านผู้นั้นไป .. วันนี้ทุก ๆ อย่างเกือบจะกลับมาในแนวทางที่เคยเดิน หนทางกลับบ้านของเหล่าตันตริกกลับมาทอดให้เดินอีกครั้ง และเราจะเดินไปด้วยกันอีกคราพร้อมผลส้มในมือ ผมมาเขียนขอบใจและขอบคุณ ทุกๆ กำลังใจที่พูดกล่าวออกมาต่อผมและกำลังใจที่แม้แค่เป็นสายตาหรือท่าทางการเดินผ่าน ผมก็เข้าใจว่าคุณบอกให้ผมสู้และเราจะสู้ด้วยกัน ขอบคุณในเสียงสวดขอพรของคณะอาจารย์ทุกสีอันไพเราะทุกค่ำคืนที่ผมยืนฟังด้วยน้ำตาหลายครา ขอบคุณเลือดทุกหยดที่เสียสละมาให้... ขอบใจจริงๆ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-17 22:08:21 |
ความคิดเห็นที่ 645 (2961639) | |
asinatantra |
ท่านกลับมาพักฟื้นที่บ้านวันนี้แล้วนะ.... |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-19 10:19:14 |
ความคิดเห็นที่ 646 (2961747) | |
Blue Label | ดีใจที่ท่านกลับมาแล้วค่ะ เกือบเดือนที่ท่านไม่อยู่ หนูรู้สึกเหมือนสัมปชัญญะบางส่่วนหายไป เหมือนกับว่าการก้าวเดินไม่มั่นคง แต่ก้อพยายามประคับประคองให้มันผ่านไป เพราะหนูเชื่อว่าท่านจะต่้องกลับมาในเร็ววัน สมาชิกในบ้านเราคงดีใจที่ท่านเจ้าบ้านได้กลับมาอยู่บ้านแล้ว (^_^) แข็งแรงไวๆน่ะค่ะหนูอยากเห็นท่านเดินไปเดินมาในเทวาลัยอีก |
ผู้แสดงความคิดเห็น Blue Label วันที่ตอบ 2009-01-19 14:07:08 |
ความคิดเห็นที่ 647 (2962542) | |
asinatantra | เห็นหน้าตาตันตริกและผู้คนที่แวะเวียนมาเทวาลัยยิ้มจนถึงหูกัน ก็พลอยมีความสุขไปด้วยนะครับ ใช่แล้วครับทุก ๆ คนดีใจที่ท่านกลับมาพักฟื้นที่บ้านและเดินมาเทวาลัยไหวแล้ว...ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ท่านเจ้าบ้านฝากข้อความมากล่าวขอบใจทุกคน ทุกตันตริก ทุกพิธีกรรม ท่านรับรู้รับทราบทั้งหมด ไม่ว่าใครนั่งร้องไห้ข้างเตาอัคนี พิธีสวดมาราธอน พิธีถวายไม้มะม่วง พิธีถวายเขียงมะม่วงทองคำ พิธีนั่งสมาธิถวาย พิธีสวดมนต์ ฯลฯ ที่ทุก ๆ คนตั้งใจประกอบพิธีให้ ท่านว่า " ขอบใจ " หลังจากผ่านบทเรียนครานี้กันน้ำตานองหน้าทุกถ้วนหน้า ผมคิดว่าทั้งผมและเพื่อน ๆ และท่าน ๆ คงเห็นพ้องกันว่าเราจะถนอมท่านไว้ไม่ให้เหนื่อยดั่งแต่ก่อนอีกต่อไป ท่านต้องนอนมากขึ้น พักผ่อนมากขึ้น ทานอาหารที่ดีมีประโยชน์มากขึ้นและพบคุณหมอตรวจเฝ้าระวังพวก(ตัวไม่ดี)ที่แอบแฟ้งอยู่ในตัวท่านต่อไป เพื่อท่านจะได้อยู่เป็นมิ่งขวัญให้พวกเรามีกำลังกายและกำลังใจนำผลส้มกลับไปอวดคนที่บ้านของพวกเราให้ได้ ...จริงมั้ยครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-21 10:12:22 |
ความคิดเห็นที่ 648 (2962567) | |
Mr.Ocean | ดีใจที่รู้ว่าท่านกลับมา เพื่อถ่ายทอดคำสอนดีๆให้พวกเราคร๊าบบ |
ผู้แสดงความคิดเห็น Mr.Ocean วันที่ตอบ 2009-01-21 10:42:06 |
ความคิดเห็นที่ 649 (2962767) | |
kokomi | ไม่แน่ใจว่า....การนั่งมาธิถวายเพื่อขอพรให้ท่านจะได้ผลหรือไม่...แต่ก็ไม่ขอถามใครอีกแล้วเลยทำทำทำ....แล้วก็ดีใจที่ได้มาอ่านข้อความจากท่านที่พวกเราชาวตันตริกสวดกันทุกคืน...จนทุกวันนี้ท่านกลับมาแล้วแงแง....ดีใจค่ะ |
ผู้แสดงความคิดเห็น kokomi (kokomi_c-at-hotmail-dot-com) วันที่ตอบ 2009-01-21 16:43:50 |
ความคิดเห็นที่ 650 (2969466) | |
asinatantra | ความเปลี่ยนแปลงของความคิด..กำลังดำเนินไป ทำไมผมนึกอะไรเขียนไม่ค่อยออก หลายๆ คำสอนในหัวผมมันต่อเรียงกันเป็นวงกลม ต้นและจบ มนุษย์เป็นแบบนี้เริ่มแบบนี้และจบลงแบบนั้น เหมือนกันทุกคน แต่ผมเขียนมันออกมาไม่ได้เหมือนก่อน ส่วนเกร็ดชีวิตประจำวันมันก็แทบจะไม่น่าสนใจอะไรมากไปกว่าอากาศที่หายใจเข้าไปในช่วงที่สงบสุข ผมเคยถามตนเองมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ได้รู้จักคำว่าตันตระว่า ความศรัทธาของผมลึกขนาดไหนนะ ณ จุดที่ทุกข์ที่สุดและความหวังหายไปผมจะยังศรัทธาในความคิดของผมไม๊ ผมชอบแอบถามตนเองแบบนี้ ถ้าเมื่อผมไม่ได้ดั่งใจ ผมจะยังศรัทธาอยู่ไม๊ .. ผมเคยเข้าอปิตะที่หนึ่งอยู่หลายคราในชีวิตที่ผ่านมาและทุกครั้งที่ผมดำดิ่งลงในโจทย์ทุกข์ ผมก็มีศรัทธาและรักต่อตันตระเต็มสายเลือดเหมือนเดิมแต่ว่าทุกข์เหล่านั้นคือความตั้งใจหามาของผมเพื่อเรียนรู้ แต่สิ่งที่ผมผ่านมาครานี้มันมาโดยไม่ได้หามา สิ่งที่เป็นพื้นฐานในสี่อย่างของมนุษย์นี่นั้น ทุกข์ของการจาก(เกือบ)ลา ..ผมได้เรียนรู้ว่าความรักต่อตันตระและคุรุท่านนั้นเต็มสายเลือดของผม ณ เวลาที่ความหวังในใจผมถูกทำลายสิ้น ณ ทุกๆวินาทีที่ทุกข์ใจ ผมเชื่อมั่นไม่เสื่อมคลาย องค์มหาเทพที่หลับตาเพื่อปราณีต่อกรรมของมนุษย์ตัวน้อย ๆ แบบผม ผมเรียนรู้ว่าและยอมรับว่า ความทรนง ในตัวอสินะตันตระที่เคยมีมันหายไป ผมเคยแอบทรนงว่ารู้ว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไรด้วยหามาเรียนหลายอย่างใส่ตัว แต่แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยหามาใส่ตัวได้ดั่งใจคือการจากลาจาก เพราะอายุยังเดินไปไม่ถึง และแน่นอนว่ามันคงเป็นข้อเสียของการเรียนของผม ทรนงว่ารู้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะหายทรนงนั้นซะ มันมีทุกข์ที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ที่ผมเคยเรียนรู้มาอีก ในสังขารนี้ผมอ่อนแอเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับกรรมของพรหมโลกนี้ ผมได้เรียนรู้ว่าทุกวินาทีที่หายใจเข้าไปโดยไม่มีทุกข์ใจนั้นมีค่าเพียงใด ไม่ต้องมีนั้นหรือมีนี่ให้รู้สึกว่ามีค่าแค่อากาศแต่ละวินาทีของช่วงเวลาไม่ทุกข์นั้นมันดีที่สุดแล้ว ผมเคยเขียนเรื่องทุกข์ของรูปธรรมในหลาบบทความ ว่า เมื่อมันมาถึงและทำอะไรไม่ได้ทุกข์ของรูปธรรมนั้นหนักหนานัก มันละเอียดลงไปอีกจนเขียนออกมาไม่ถูก และทำให้เมื่อเห็นผู้คนที่ทุกข์ใจผมรู้สึกสงสาร สงสารคนเหล่านั้นที่ทุกข์ใจแต่หนทางหายทุกข์มันทำได้แค่สองทางใหญ่ ๆ เท่านั้นคือ บ่งมันออกมา หรือ ห่อหุ้มมันเอาไว้ แต่เมื่อเป็นทุกข์ที่เกิดจากรูปธรรมห่อย่างไรก็ไม่อยู่นอกจากบ่งออกมาและทำความเข้าใจซะ.. เฮ้อออ..... เมื่อวานเจ้าบ้านก็พึ่งบอกว่า วิธีสอนผมโหดเกินไปเจ็บปวดเกินไป ผมเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะความทุกข์นั้นโหดร้ายนักและชีวิตมนุษย์อย่างไรก็ต้องทุกข์ใจ จนถึงขณะนี้สมองผมยังทำงานไม่เข้าที่ ผมรู้ดีผมยังเรียงสิ่งที่เรียนรู้ครานี้ออกมาเป็นตัวหนังสือให้เข้าใจง่ายๆไม่ได้ ผมคงต้องตกตระกอนมากกว่านี้หรือครานี้ผมอาจจะไม่ตกตะกอนอีกเลยก็ได้เพราะสิ่งที่อสินะตันตระเรียนครานี้มันหนักกว่าจะถ่ายทอดออกมาได้มันเป็นจุดจบของตนเองที่ผมได้ไปยืนอยู่ถึงกว่าหกชั่วโมง เหมือนตนเองตายไปหกชั่วโมงเหมือนฝันร้ายที่นอนดิ้นร้นพร้อมน้ำตาอยู่หลายวัน พอตื่นมาก็ยังจำรสชาติมันได้ และแน่นอนคนเรียนเอกด้านสีเทาแบบผมยังไม่ฟื้นเลย แต่ในสิ่งร้ายก็ย่อมมีสิ่งดีเสมอคือ บทเรียน หากไม่เป็นมนุษย์ก็จะไม่มีวันได้เรียนรู้เรื่อวนี้แน่นอน ผมได้ไปถึงตอนจบของขอบชีวิตในอายุเท่านี้ผมสำผัสความสุญเสียนั้นแล้ว มันทำให้รู้ว่าศรัทธาต่อตันตระนั้นมากมายไหลเวียนและผมจะปฎิบัติอย่างไรเมื่อมันเกิดขึ้น คำๆ หนึ่งที่เกือบลืมไปแล้วว่าตนเองถืออยู่ อภิสิทธิ์ที่หนึ่ง ผมจะทำอะไรได้บ้างและทำให้คิดได้ว่าท่านคุรุเคยบอกเสมอว่า " จงรู้ไว้เถอะว่าทุกอย่างที่เกิดขิึนกับชีวิตผมมันเกิดขึ้นเพราะคุรุต้องการ จงเชื่อเถอะว่าหากเอ่งยกมือขึ้นหนึ่งข้างนั้นก็เพราะคุรุสั่งให้ยก " ชีวิตผมเป็นของท่านๆ เป็นของตันตระ |
ผู้แสดงความคิดเห็น asinatantra (1-at-tantradevalai-dot-com) วันที่ตอบ 2009-02-07 10:00:37 |
<< ก่อนหน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 ถัดไป >> |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 272812 |